World’s Best Martial Artist – ตอนที่ 8

ตอนที่ 8 ท้อแท้

แม้ว่าสองวันก่อนฟางผิงจะไปค้นหาข้อมูลที่ร้านเน็ต แต่เขามีเวลาจำกัด แน่นอนเหตุผลหลักเป็นเพราะเขามีเงินจำกัด

บางเรื่องเขาก็ไม่มีโอกาสลงลึก อย่างเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสอบวิชายุทธ พูดตรงๆเลย ข้อมูลที่เขาได้จากอินเตอร์เน็ตก็ไม่ค่อยชัดเจนนักเช่นกัน

โดยไม่มีสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ติดบ้าน ฟางผิงตระหนักว่าถ้าเขาไม่ได้ไปร้านเน็ต การจะหาข้อมูลอะไรสักอย่างมันเป็นอะไรที่ยากมาก

แถมเขายังไม่สามารถถามคำถามบางอย่างกับผู้อื่นได้เช่นกัน เพราะบางคำถามก็อาจเป็นเรื่องธรรมดาในสายตาผู้อื่น

‘ดูเหมือนมันถึงเวลาลงทุนซื้อคอมแล้วสิ’ ฟางผิงคิด แต่เขาลืมไปเลยว่าถ้าอยากจะได้คอมก็ต้องใช้เงินเพิ่ม

อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้จนปัญญาซะทีเดียว ฟางผิงอาจไม่เข้าใจทุกอย่างชัดเจน แต่นักเรียนเตรียมสอบวิชายุทธอย่างหยางเจี้ยนต้องรู้แน่นอน

เมื่อหยางเจี้ยนพูดจบประโยค ฟางผิงก็ยิงคำถามใส่เขา “ถ้าฉันจำไม่ผิด สอบวิชายุทธปีที่แล้วไม่ได้ยากเกินไปใช่ไหม? ถ้าเป็นนาย ฉันมั่นใจว่านายผ่านสี่ขั้นตอนแน่ ปีนี้คงไม่ได้เปลี่ยนนโยบายสอบใช่ไหม?”

ฟางผิงพูดอย่างคลุมเครือ ยังไงมันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่กฎเกาเข่าจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยทุกปี และฟางผิงก็ไม่ห่วงเลยว่าหยางเจี้ยนจะคิดมากเกินไป

ในขณะเดียวกันฟางผิงก็เยินยออีกฝ่ายด้วยโดยหวังว่าจะได้รับข้อมูลเพิ่มเติม

และมันก็เป็นแบบนั้นจริง หยางเจี้ยนไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับความไม่รู้ของฟางผิง เขามีรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า

ฟางผิงไม่ค่อยได้พูดหัวข้อวิชายุทธกับเขานัก ดังนั้นหยางเจี้ยนจึงดีใจมากที่ได้คุยหัวข้อนี้

ไม่เหมือนเฉินฝานที่ไม่สนใจเรื่องวิชายุทธเลย ถ้าฟางผิงไม่มา เขาพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์

เมื่อเห็นว่าฟางผิงเริ่มให้ความสนใจ รอยยิ้มของหยางเจี้ยนก็กว้างจนเกือบถึงหู เขากล่าว “นายประเมิณฉันสูงไป อีกอย่างมีปีไหนบ้างที่การสอบวิชายุทธไม่ยาก?”

“ปีนี้นโยบายสอบมีการเปลี่ยนไป แต่ฉันไม่มั่นใจรายละเอียดเท่าไหร่ ฉันมั่นใจว่าพอรุ่นพี่หวังมา เขาคงอธิบายภาพรวมให้เรา”

“แต่ช่วงไม่กี่วันมานี้ ฉันลองตรวจสอบและถามอาจารย์มาเหมือนกัน เทียบกับปีแล้ว สอบปีนี้ต่างกันหน่อย”

ฟางผิงสังเกตเห็นว่าหยางเจี้ยนหยุดพูด เขาเข้าใจเลยว่าเจ้ายักษ์เคราเฟิ้มในอนาคตคงพยายามทำให้เขารู้สึกสงสัย แต่เสียดายฟางผิงไม่ได้ถามอะไรเช่นกัน

สำหรับเด็กอายุประมาณนี้ เขาไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อให้หยางเจี้ยนพูดต่อเลย เมื่อจั่วหัวข้อมา ต่อให้เขาไม่ถาม อีกฝ่ายก็อดใจไม่ไหวพูดขึ้นมาเอง

เป็นไปตามที่ฟางผิงคาดไว้ เมื่อหยางเจี้ยนเห็นว่าฟางผิงไม่พูดหัวข้อนี้ต่อ เขาจึงดูไม่ค่อยสบอารมณ์นัก แต่เขาก็พูดต่ออยู่ดี “เรามาพูดถึงขั้นตอนแรก ตรวจสอบปูมหลังทางการเมือง”

ฟางผิวคิ้วกระตุก หยางเจี้ยนพูดต่อ “แต่ก่อน พวกเขาจะตรวจสอบประวัติอาชญากรของครอบครัวสามรุ่น”

“ปีนี้ พวกเขาลดเงื่อนไข จำกัดแค่ตรวจสอบพ่อแม่พี่น้องและญาติสองรุ่นเท่านั้น”

“แต่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรานัก เว้นแต่ปู่ของเราจะมีประวัติอาชญากรรม”

สอบวิชายุทธขั้นตอนแรก ตรวจสอบปูมหลังทางการเมือง

มันเป็นที่เข้าใจได้ เพราะผู้ฝึกยุทธไม่ใช่คนธรรมดา พลังทำลายล้างของพวกเขามากมายยิ่งกว่าคนธรรมดา

รัฐบาลได้จัดสรรเงินทุนส่วนใหญ่ให้กับหลักสูตรมหาลัยวิชายุทธทุกปี

คงไม่มีใครอยากใช้ทรัพยากรจำนวนมากเพื่อฝึกฝนผู้ฝึกยุทธรุ่นใหม่เพื่อให้พวกเขากลายเป็นอาชญากรหรอก แม้ว่าพ่อแม่เป็นอาชญากรแล้วลูกอาจไม่ใช่อาชญากรก็ตาม

อย่างไรก็ตามถ้าหากมีการกำหนดเงื่อนไข การกำหนดเงื่อนไขอย่างเข้มงวดย่อมดีกว่า ต่อให้เราไม่พอใจผลลัพธ์ เราก็ทำอะไรไม่ได้

“แม้พวกเขาจะลดเงื่อนไขตรวจสอบปูมหลังทางการเมืองลง แต่มันก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อเราเลย เพราะมันทำให้มีคนสมัครมากขึ้น”

“แต่การเปลี่ยนแปลงสอบขั้นตอนที่สองเป็นประโยชน์ต่อเรา”

หยางเจี้ยนกล่าวอย่างดีใจ “ขั้นตอนที่สอง ประเมิณร่างกายทางวิชายุทธ”

“เกณฑ์หลักๆไม่ได้เปลี่ยนแปลง ที่เปลี่ยนคืออายุ”

“ก่อนหน้านี้มีการจำกัดอายุสูงสุด 22 ปี แต่ปีนี้เปลี่ยนอายุสูงสุดเป็น 20 ปี ไอพวกที่สอบไม่ผ่านแล้วรอสอบซ้ำคงบ้าตาย!”

การเป็นผู้ฝึกยุทธ อายุน้อยใช่ว่าจะได้เปรียบ ตอนอายุยังน้อย กระดูกยังไม่พัฒนาเต็มที่ แถมยังไม่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์อีก

ถ้าใครเริ่มฝึกวรยุทธตั้งแต่อายุน้อย มันจะทำร้ายตัวเองได้ง่าย ยิ่งกว่านั้นเมื่อเด็กมีพลัง เด็กจะทำเรื่องเลวร้ายลงไปได้ง่าย

นี่เป็นเหตุผลหลักที่ทำไมรัฐบาลถึงก่อตั้งมหาลัยวิชายุทธ!

หลังได้รับการศึกษาด้านความคิดความอ่านมาหลายปี เมื่อนักเรียนเข้ามหาลัย พวกเขาย่อมมีความคิดเติบใหญ่ขึ้น นอกจากนี้ถ้าพวกเขาเริ่มฝึกวรยุทธเมื่อร่างกายเติบโตเต็มที่ พวกเขาย่อมฝึกฝนได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่าด้วยความพยายามเพียงครึ่งเดียว อีกอย่างการทำแบบนี้จะได้ไม่มีผู้ฝึกยุทธที่เป็นปัญหามากเกินไปนัก

ก่อนหน้านี้นักเรียนที่สอบวิชายุทธไม่ผ่านจะเลือกดรอปได้แล้วกลับมาสอบใหม่ มันเป็นเรื่องปกติ

พวกเขาจะมีประสบการณ์มากกว่ามือใหม่ เพราะพวกเขารู้ว่าข้อบกพร่องของตัวเองอยู่ไหนและสามารถแก้ไขจุดอ่อนตัวเองได้ตามสถานการณ์จริง

ในบรรดาผู้เข้าสอบวิชายุทธแต่ละปี จะมีผู้มาสอบซ้ำถึงครึ่งนึงเลยทีเดียว

ด้วยข้อจำกัดอายุ 22 ปีของก่อนหน้านี้ ผู้เข้าสอบบางคนอาจสอบซ้ำหลายปีเลยทีเดียว

ด้วยขีดจำกัดอายุที่ลดลงมาเหลือ 20 อย่างฉับพลัน มันอาจทำลายความหวังและความฝันของผู้ที่จะทำการสอบซ้ำไปมากมาย

ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นเรื่องปกติที่จะมีเด็กอายุ 18-20 ปีเรียนอยู่มัธยมปลายปีสาม บางคนก็อาจอายุเกินหลังสอบซ้ำหนึ่งปี

อย่างไรก็ตามฟางผิงไม่ได้เป็นห่วงเรื่องนี้ เขาอายุ 18 ปีเท่านั้น เขายังสอบซ้ำได้อีกสองปี

หลังครุ่นคิดครู่นึง ฟางผิงก็ถาม “แล้วพวกมาสอบซ้ำล่ะ? พวกเขาไม่ออกมาโวยหรอ?”

หยางเจี้ยนตอนอย่างอารมณ์ดี “จะเป็นไปได้ไง? ฉันได้ยินว่าเกิดความวุ่นวายขึ้นเลยแหละ แต่มันมีประโยชน์อะไรล่ะ?”

“พวกเขาสอบไม่ผ่านแต่แรกเอง พอพวกเขาเกินยี่สิบ ต่อให้พวกเขาผ่าน พวกเขาก็จะถ่วงทุกคน”

“ต่อให้ประท้วงไปก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกัน เพราะยังไงก็มีผู้เข้าสอบใหม่เยอะกว่าคนสอบซ้ำอยู่แล้ว ถ้าพวกเขามีอำนาจ ทุกคนคงเลือกแบนไม่ให้มาสอบซ้ำแล้ว แต่การสอบสังคมศาสตร์ไม่ได้มีข้อจำกัดแบบนี้ เพราะงั้นทุกคนไปนั่งสอบสังคมศาสตร์ได้”

ฟางผิงเข้าใจว่าหยางเจี้ยนอยากสื่ออะไร เขาเปลี่ยนหัวข้อ “ประเมิณร่างกายของสอบวิชายุทธต่างจากประเมิณร่างกายของสอบสังคมศาสตร์มากไหม?”

หยางเจี้ยนเกาหัว เขาอดมองค้อนฟางผิงไม่ได้

เฉินฝานที่นิ่งเงียบมาตลอดพูดไม่ออกไปชั่วครู่ “นายบ้ารึเปล่า? มันต่างกันมากแน่นอนอยู่แล้ว! ฟางผิง นายละเมออีกแล้วเหรอ?”

“ฉันได้ยินมามากมายเกี่ยวกับการประเมิณร่างกายของสอบวิชายุทธ”

“นายคิดว่านายจ่ายเงินค่าสมัครหมื่นหยวนเพื่้ออะไรกัน?”

“การประเมิณร่างกายของสอบวิชายุทธประกอบด้วยรายละเอียดมากมายรวมถึงการตรวจสอบอาการบาดเจ็บหรือความผิดปกติในโครงสร้างกระดูก”

“คนที่มีสายตาไม่ดี บาดเจ็บที่กระดูก หรือมีแผลเป็นขนาดใหญ่บนร่างกายภายนอกจะไม่ได้รับการยอมรับ”

“อีกอย่างสิ่งสำคัญที่สุดของการประเมิณคือปราณและเลือด ถ้าไม่มีระดับปราณและเลือดเพียงพอ ร่างกายของเราจะอ่อนแอ ต่อให้มีข้อได้เปรียบด้านอื่นก็เปล่าประโยชน์ บางคนมีสภาวะอ่อนแอแต่กำเนิดที่ต่อให้ทานอาหารเสริมก็ช่วยไม่ได้ คนเหล่านี้จะไม่มีทางเป็นผู้ฝึกยุทธได้”

“คนที่โตมากับครอบครัวยากจนและไม่มีอาหารดีๆทานย่อมมีระดับปราณและเลือดต่ำ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเมืองใหญ่ๆถึงมีอัตราการสอบติดมากกว่าเมืองเล็กๆอย่างเรา”

“ในเวลาเดียวกัน อัตราการสอบติดของเมืองเล็กๆก็มากกว่าหมู่บ้านชนบท”

“เขตพื้นที่ที่ยากจนจะมีผู้ฝึกยุทธน้อย ต่อให้นายไม่ต่างจากคนอื่นๆเท่าไหร่ แต่มีคนตรงมาตรฐานสอบวิชายุทธทุกปี พวกเขาจึงเลือกคนที่ดีที่สุดเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้เฉพาะหัวกะทิในหมู่หัวกะทิเข้ามาในหลักสูตรวิชายุทธ”

ฟางผิงพยักหน้า เขาพินิจตัวเองแล้วคิดว่าตัวเขาคงไม่มีปัญหานัก เพราะยังไงปราณและเลือดเขาก็เพิ่มขึ้นแล้ว เขาควรจะแข็งแกร่งกว่าคนส่วนใหญ่

ถ้าเขายังเป็นฟางผิงคนเดิม มันอาจเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกคนเป็นคนธรรมดา เขาก็ไม่มีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น

อย่างไรก็ตามมันก็ยังตัดสินได้ยากว่าการมีระดับปราณและเลือด 1.1 จะพอให้เขาผ่านไหม ดูเหมือนก่อนการสอบ เขาควรเพิ่มปราณและเลือดอีกสักหน่อย

นอกจากนี้ มีเรื่องนึงที่กระตุ้นความสงสัยของฟางผิง ฟังจากน้ำเสียงเฉินฝาน ดูเหมือนมันจะมีวิธีตรวจสอบปราณและเลือดเฉพาะทาง

อย่างไรก็ตามในความทรงจำของฟางผิง แนวคิดระดับปราณและเลือดของคนเป็นสิ่งที่แพทย์แผนจีนกล่าวไว้ ถ้าไม่มีการตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือที่เหมาะสม เราจะรู้ผลลัพธ์หลังปรึกษาแพทย์แผนจีนเท่านั้น

สำหรับการประเมิณสเกลใหญ่อย่างเกาเข่า ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ที่จะให้แพทย์แผนจีนเป็นคนตรวจสอบ ที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือการใช้อุปกรณ์แพทย์เฉพาะทาง

ขณะที่ฟางผิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หยางเจี้ยนก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “นอกจากสองขั้นตอนนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก”

“หลังจากขั้นตอนตรวจสอบปูมหลังทางการเมืองและประเมิณร่างกาย จำนวนผู้เข้าสอบจะลดลงไปส่วนหนึ่ง ผู้เข้าสอบที่เหลือจะไปต่อขั้นตอนที่สาม สอบภาคปฏิบัติ”

“จากนั้นก็เป็นสองขั้นตอนสุดโหด วัฒนธรรมศึกษากับศึกษาทั่วไป”

“อะแฮ่ม!”

ฟางผิงจำได้ว่าเขาเจอวัฒนธรรมศึกษาตอนที่อยู่ร้านเน็ตแล้ว แต่เขาไม่ได้ดู ตอนนี้พอเขาได้ยินหัวข้อนี้อีกรอบ เขาจึงอดถามไม่ได้ “วัฒนธรรมศึกษาทำไม? นายไม่มั่นใจว่าจะผ่านเหรอ?”

จากความเข้าใจของฟางผิง วัฒนธรรมศึกษาในโลกนี้ต่างจากโลกก่อนเล็กน้อย ถ้าเขาทำขั้นตอนอื่นได้ วัฒนธรรมศึกษาก็น่าจะง่าย ขอแค่ใส่ใจหน่อย นักเรียน 90% จากโรงเรียนมัธยมปลายอันดับหนึ่งน่าจะไม่มีปัญหาอะไร

แต่โดยไม่คาดคิด เมื่อฟางผิงพูดจบ หยางเจี้ยนก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ฟางผิงมันอาจง่ายสำหรับนาย แต่มันไม่ง่ายสำหรับฉัน”

“ปีก่อน คะแนนขั้นต่ำสุดของสอบวิชายุทธสูงกว่าสอบสังคมศาสตร์สิบคะแนน ด้วยเกรดของฉันตอนนี้ ฉันอาจไม่ผ่าน”

“ผู้ฝึกยุทธต้องเก่งทั้งบู๊และบุ๋น พวกเขาต้องไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่คะแนนสอบผ่านสอบวิชายุทธจะสูงกว่าสอบสังคมศาสตร์ ถ้าผู้ฝึกยุทธทุกคนโง่ พวกเขาจะมีคุณสมบัติเป็นผู้บริหารที่มีความสามารถได้ไง?” เฉินฝานนิ่งๆ

เก่งทั้งบู๊และบุ๋น นี่แหละคือผู้ฝึกยุทธที่แท้จริง

ผู้ฝึกยุทธถือเป็นชนชั้นสูงของสังคม คนโง่จะปกครองประเทศและบริหารกิจการได้ดีได้อย่างไร?

นิทานมีแต่เรื่องหลอกลวง!

ในละคร คนไม่มีการศึกษาแค่หยิบคัมภีร์ลับก็กลายเป็นผู้ฝึกยุทธได้ชั่วข้ามคืน มันไร้สาระมาก!

คนโง่ก็อาจประสบความสำเร็จในวิชาต่อสู้ แต่พวกเขาไม่มีทางไปถึงจุดสูงสุด

ถ้าเราส่งมอบคัมภีร์ลับให้คนไม่มีการศึกษา แล้วคนๆนั้นดันไม่เข้าใจตัวหนังสือ งั้นเรียนวิชายุทธไปจะมีประโยชน์อะไร?

มันเป็นไปได้สูงมากที่คนๆนั้นจะไม่เข้าใจวิธีฝึกปรือ วิธีฝึกปรือหลายวิธีซับซ้อนไม่ต่างอะไรกับคัมภีร์สวรรค์ที่แม้แต่นักศึกษามหาลัยจากโลกก่อนก็ตีความไม่ได้

ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ผู้ฝึกยุทธต้องศึกษาความรู้แขนงต่างๆอย่างวิชาแพทย์และการยศาสตร์ รวมถึงผังระบบโครงกระดูกมนุษย์และเส้นเลือดลม พวกเขาจำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง

ที่พูดถึงนี่จำกัดแค่มัธยมปลายปีสามเท่านั้น ตอนระดับมหาลัย คนที่เข้าเรียนวิชายุทธจะต้องศึกษาวิชาแขนงต่างๆมากกว่าคนที่เลือกสังคมศาสตร์ อย่างแร่วิทยา โภชนาการ…

‘ศึกษาทั่วไป’ที่หยางเจี้ยนพูดถึงเมื่อกี้ก็หมายถึงการประเมิณความรู้ในแง่นี้แหละ

ขณะที่ทบทวนวัฒนธรรมศึกษาและฝึกฝนสมรรถภาพทางกายไปพร้อมๆกัน เราต้องอ่านความรู้แบบนี้ด้วย ดังนั้นมันจึงไม่ได้ห่างจากความจริงเลยว่าคนที่เข้าวิชาต่อสู้ได้ต่างก็เป็นอัจฉริยะที่แท้จริงโดยไม่มีข้อยกเว้น

คะแนนผ่านวัฒนธรรมศึกษาของสอบวิชาต่อสู้สูงกว่าสอบสังคมศาสตร์ ร่างกายที่แข็งแรง และต้องศึกษาความรู้ทั่วไปที่เป็นประโยชน์ต่ออาชีพนอกเหนือจากเรื่องที่อยู่ในขอบเขตของวัฒนธรรมศึกษา…

หลังได้ยินเรื่องห้าขั้นตอน ฟางผิงก็รู้สึกท้อแท้

สามขั้นตอนแรก ด้วยระบบที่ไม่น่าเชื่อถือ ฟางผิงคิดว่ามันไม่น่าใช่ปัญหาใหญ่นัก นอกจากนี้เขายังมีวิธีเอาชนะมันด้วย

แต่นี่คืออะไร? มันคือการสอบวิชาต่อสู้!

มันไม่ใช่แค่ประเมิณสมรรถภาพทางร่างกาย! ตอนนี้เขาต้องประเมิณวัฒนธรรมศึกษา แถมเขายังต้องพยายามทำให้คะแนนสูงกว่าสอบคณะอื่นอีก?

ไม่ว่ายังไง ฟางผิงก็อ่านหนังสือเรียนและตระหนักว่ามันไม่ได้ต่างจากโลกเก่าเขาเลย เว้นแต่เพิ่มองค์ประกอบวิชายุทธเข้าไปในหนังสือประวัติศาสตร์

อย่างไรก็ตามศึกษาทั่วไปล่ะ?

ฟางผิงไม่เคยศึกษาและไม่เคยพยายามหาความรู้เพิ่มเติม

ตอนนี้ไม่ไกลจากเกาเข่าแล้ว เขาจะจัดการทุกเรื่องได้จริงเหรอ?

บัดซบ!

ฟางผิงรู้สึกถึงความไม่พอใจอยู่เต็มท้อง มันจะง่ายกว่าไหมถ้าเขาเปลี่ยนไปเป็นคนไร้ค่าแทน?

World’s Best Martial Artist

World’s Best Martial Artist

Global Gaowu, Global Martial Arts, Quan Qiu Gao Wu, Toàn Cầu Cao Võ, WBMA, 全球高武
Score 7.8
Status: Ongoing Type: Author: , Released: 2018 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง World’s Best Martial Artist เรื่องย่อ ฟางผิงใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ตัดสินได้ว่าเขาไม่ได้ฝันไปหรือไม่ได้ถ่ายหนัง…อย่าไร้สาระน่า ถ้าการถ่ายหนังชุบความเป็นหนุ่มของเขากลับมาได้ งั้นกองถ่ายก็คงไปถ่ายทำที่สวรรค์ได้แล้ว! หลังยืนยันว่าเขากลับมาเกิดใหม่ ฟางผิงก็รู้สึกถึงความตื่นตระหนกก่อนจะค่อยๆยอมรับความจริง ความจริงอะไรงั้นเหรอ? ความจริงที่ว่าเขากลับมาเกิดใหม่ในร่างตัวเองตอนเด็ก และเนื่องจากเขามีความรู้ของอนาคตติดตัวมาด้วย เขาจะทำวันนี้ให้ดีที่สุดแล้วกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในแวดวงธุรกิจ! เขาจะรวย! นั่นเป็นความคิดของเขาจนกระทั่งเพื่อนเขามาขัดจังหวะ “สรุปนายจะลงทะเบียนสอบวิชาการต่อสู้ไหม?” อะไรนะ? พูดเล่นเหรอ? หรือเขาส่งบทผิด? วิชาการต่อสู้คืออะไร? ทำไมถึงมีค่าลงทะเบียนหมื่นหยวน? หัวของเขาเต็มไปด้วยประโยคคำถาม ไม่นานฟางผิงก็ตระหนักว่าเขาอาจไม่ได้โชคดีเหมือนที่เขาคิดไว้ตอนแรก…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset