(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท – ตอนที่ 2-7

ตอนที่ 2-7 แผลฉกรรจ์

 

 

 

 

น้ำเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยขึ้นนั้นทำให้ซองจูลืมตาขึ้นมาแอบลอบมองอีกฝ่าย เส้นผมที่ยาวปรกใบหน้าฝั่งหนึ่งไว้ทำให้เขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังทำสีหน้าแบบไหน เห็นเพียงจมูกโด่งเป็นสันจนดูสะดุดตานั่นเท่านั้น ซองจูจึงทำเพียงหลับตาลงอีกครั้ง และตั้งใจฟังสุ้มเสียงที่ดังขึ้น 

 

 

“บังเอิญได้ดูวิดีโอการแสดงอันนึง เป็นผู้ชายหน้าตาดีที่ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร สวมใส่ชุดสูทหรูหรากำลังเต้นแล้วก็ร้องเพลงอยู่ นั่นเป็นครั้งแรกเลยละ เพราะที่บ้านฉันน่ะ ไม่มีของหรูหราแบบทีวีหรอกนะ” 

 

 

นี่โตมาในสภาพแวดล้อมแบบไหนกัน ถึงได้บอกว่าไม่มีทีวีน่ะ มันเป็นคำบอกเล่าที่ทำให้อดหัวเราะไม่ได้ก็จริง แต่ซองจูก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่เช่นเดิม เขาไม่อยากทำลายบรรยากาศ ด้วยการพูดแบบไม่คิดออกมา อีกคนอาจจะรู้หรือไม่รู้ความคิดแบบนั้นของเขา แต่จองอูก็ยังคงพูดต่อไป 

 

 

“สำหรับฉันที่คิดมาตลอดว่าดนตรีก็คือเพลงลูกทุ่ง เพลงพื้นบ้านที่คนในหมู่บ้านร้องกัน หรือไม่ก็แค่เพลงกล่อมเด็กที่ได้เรียนในโรงเรียนเท่านั้น วิดีโดนั่นคือสิ่งที่มากะเทาะโลกของฉันเลยละ ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร ฉันแค่ต้องการพิสูจน์ว่า นักร้องทั่วๆ ไปที่พวกเพื่อนในห้องพูดถึงกัน กับคนๆ นั้นน่ะต่างกันตรงไหน และนั่นก็คือจุดเริ่มต้น” 

 

 

“ถ้าแค่เต้นไปด้วย ร้องเพลงไปด้วย งั้นก็คือพวกไอดอลไม่ใช่รึไง” 

 

 

“ไม่ใช่หรอก มันมีแนวร็อกแดนซ์อยู่ด้วย” 

 

 

“แล้วยังไงล่ะ ยังไงคนๆ นั้นก็ถือว่าเป็นต้นแบบของนายไม่ใช่รึไง” 

 

 

 “มันก็คล้ายๆ แบบนั้นละ” 

 

 

ซองจูลืมตาขึ้นและจ้องมองไปยังจองอู อีกคนลืมตาขึ้นมาอยู่ก่อนแล้ว และกำลังเหม่อมองไปยังหน้าจอมืดสนิทของทีวีที่แขวนอยู่บนผนังตรงกลางห้องนั่งเล่น 

 

 

“ในเมื่อที่บ้านไม่มีทีวี แล้วนายไปเห็นวิดีโอนั่นจากที่ไหนกันล่ะ บ้านนอกแบบนั้นคงไม่มีใครที่ไหนจะพกเอาวิดีโอการแสดงของวงร็อกไปหรอกมั้ง” 

 

 

“พี่ดงฮยอน” 

 

 

“ไอ้บ้าชินดงฮยอนนี่ ไปทำลายชีวิตคนอื่นเขาอีกแล้วนะ” 

 

 

ซองจูบ่นเรื่อยเปื่อยออกมาเบาๆ จากคำบอกเล่าของจองอู แล้วก็เรื่องราวในปัจจุบัน พอลองเอามาปะติดปะต่อกันดูแล้ว ดงฮยอนคงไม่ใช่แค่เพื่อนของลูกพี่ลูกน้องเฉยๆ แล้วละ ซองจูพยายามดัดเสียงหัวเราะเล็กแหลมของตัวเองให้ทุ้มต่ำลง 

 

 

“งั้นนายก็ทั้งเต้นแล้วก็ร้องบนเวทีด้วยเหรอ” 

 

 

“ฉันดูเป็นแบบนั้นรึไง” 

 

 

คำตอบตรงไปตรงมานั่นติดจะเย้ยหยันเล็กน้อย การสนทนาของทั้งคู่ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่มันกลับดูสนิทสนมมากกว่าที่คิด ซองจูพยักหน้าให้กับคำตอบที่ได้รับจากจองอู 

 

 

“นั่นสิ ไม่ใช่อย่างนั่นหรอกเนอะ แค่คิดก็ขนลุกแล้วเนี่ย” 

 

 

“หยุดจินตนาการเพ้อเจ้อสักทีเถอะ” 

 

 

เขาแอบชำเลืองมองอีกฝ่ายด้วยหางตา คิ้วที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ราบเรียบนิ่งเฉยของจองอูนั้นปรากฏรอยขมวดมุ่นอยู่เล็กน้อย 

 

 

ดูท่าคงจะไม่ชอบใจคำพูดนั้นสินะ ซองจูที่คิดได้เช่นนั้น ก็เบือนสายตากลับมาอีกครั้ง ในตอนนั้นเอง จองอูก็เปิดปากพูดต่ออีกหน  

 

 

“แล้วนายทำไมถึงได้มาเป็นนักแสดงล่ะ” 

 

 

ซองจูไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้ในทันที 

 

 

เขาเกิดความคิดที่อยากจะเป็นนักแสดงตอนช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยอยู่สักปีสามหรือไม่ก็ปีสี่เนี่ยแหละ เพราะเข้าชมรมภาพยนตร์ แล้วก็มีรุ่นพี่ในสาขามาคอยตามตื้อ แต่ไม่ใช่เพราะเขาเกิดสนใจวงการภาพยนตร์หรือการแสดงอย่างแน่นอน แม้จะมารู้ในภายหลังว่าตัวเองมีพรสวรรค์ในด้านการแสดง แต่เขาก็ไม่ได้เกิดความรู้สึกพิเศษอะไรที่มันแตกต่างไปจากเดิมเลย 

 

 

กับประเด็นที่ว่าด้วยเหตุใดจึงกลายเป็นนักแสดง 

 

 

คงเพราะว่ามันเปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายดาย เขาไม่มีความคิดอยากใช้ชีวิตแบบมนุษย์ออฟฟิศ รับผิดชอบกิจการใหญ่โตแบบพ่อ และก็ไม่ได้อยากเดินบนเส้นทางสายวิชาการแบบแม่ด้วย เขาไม่มีสิ่งที่อยากทำ แต่ถ้าให้เลือกแล้ว เขาก็ขอเลือกการเป็นนักแสดง ถึงอย่างไร เขาก็แกล้งใช้ชีวิตเป็นคนอื่นมาตลอดอยู่แล้ว มันจึงไม่มีอะไรยากเย็นเลยสักนิด เขาถึงได้เลือกทางนี้อย่างง่ายดาย แล้วก็โล่งใจที่การตัดสินใจนั้นมันลงตัวพอดี 

 

 

เขาไม่สามารถเปิดเผยเรื่องราวพวกนี้ออกไปได้ แม้จะมีเหตุผลที่จะปกปิดเอาไว้ แต่คนที่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจแบบนี้คงไม่มีทางเข้าใจความคิดอ่านอย่างนี้ของเขาหรอก ดังนั้นซองจูจึงไม่ทันได้สังเกตเลยว่าจองอูนั้นทำปากขมุบขมิบและจ้องมองตนเองอยู่ 

 

 

“ไม่ต้องตอบก็ได้นะ ถ้าไม่อยากตอบ” 

 

 

คำพูดต่อมาของจองอูทำให้ซองจูรู้สึกโล่งใจ แม้โดยนิสัย เขาจะเป็นพวกเอาแต่ใจตัวเองก็ตาม แต่การสารภาพความในใจที่ไร้ค่าและดูไม่ค่อยดีออกมานั้นมันเป็นเรื่องที่ช่างแตกต่าง ในขณะที่ซองจูกำลังกะพริบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่มีแววตากระจ่างใสนั่นราวกับกำลังขบคิดคำพูดอยู่นั้น ก็ได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำ หนักแน่นของจองอูเอ่ยขึ้นอีกครั้ง 

 

 

“ว่าแต่โทรศัพท์เมื่อกี้น่ะ ไม่ได้มีเรื่องอะไรจริงๆ เหรอ” 

 

 

“เออ จริงด้วย นัดนั่น” 

 

 

ซองจูนึกขึ้นได้ถึงนัดของดงฮยอนในตอนแรกที่เขาลืมมันไป แล้วก็รีบร้อนหันรีหันขวางมองหานาฬิกา นาฬิกาดิจิตอลสไตล์มินิมอลที่ประดับอยู่กลางห้องนั่งเล่น ตัวเลขบนนั้นบ่งบอกให้รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินไปเรียบร้อยแล้ว ซองจูหลับตาแน่น ก่อนจะถอนหายใจออกมา 

 

 

“เฮ้อ…ไม่อยากไปเลย” 

 

 

ใบหน้าบูดบึ้ง คิ้วขมวดมุ่น แล้วก็เสียงถอนหายใจหนักๆ แสดงออกว่าเขาไม่อยากไปจริงๆ จองอูจึงหันไปเอ่ยถามอีกครั้ง 

 

 

“สรุปแล้วมันเรื่องอะไรกันแน่” 

 

 

“โอ๊ย ปกติก็ไม่เห็นจะสนใจอะไร แล้ววันนี้ทำไมถึงได้คาดคั้นกันเก่งนัก พอเป็นผู้อาศัยเขาแล้วต้องทำตัวแบบผู้อาศัยด้วยรึไง หรือเห็นว่าชินดงฮยอนทำตัวน่าสงสัย ก็เลยอดใส่ใจไม่ได้” 

 

 

“จะไปเจอพี่ดงฮยอนงั้นเหรอ? งั้นก็เป็นเรื่องงานไม่ใช่รึไง?” 

 

 

“เฮอะ ไม่รู้ อยู่ๆ ก็เรียกให้ไปหาไม่บอกอะไรสักคำ รู้สึกทะแม่งๆ ยังไงก็ไม่รู้” 

 

 

ซองจูบ่นพึมพำความคิดที่เก็บซ่อนเอาไว้ในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว ที่วันนี้เขาทำตัวติดกับจองอูอย่างที่ไม่เคยเป็น มันก็เพราะดงฮยอนทั้งนั้น คิดได้เช่นนั้นที่เคยอึดอัดก็ผ่อนคลายลง แล้วก็ไม่คิดจะหยุดปากตัวเองอีกต่อไป 

 

 

“เวรเอ๊ย ไม่อยากไปโว้ย” 

 

 

จองอูเหลือบสายตาลงจ้องมองซองจูที่กำลังบ่นพึมพำความในใจออกมา 

 

 

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” 

 

 

“ไม่รู้ มีปัญหาหรือว่าทำอะไรผิดก็ไม่รู้ ยังไงซะฉันก็รู้สึกว่ามันไม่ปกติเลย แล้วก็ไม่อยากทำอะไรที่มันน่าสงสัยแบบนี้เลยด้วย” 

 

 

“งั้นก็จบมันซะ” 

 

 

“หา?” 

 

 

เขาหันไปมองจองอูอย่างต้องการถามว่า ที่พูดนั่นหมายความว่าอย่างไร จึงได้สบตากับอีกฝ่ายที่ยังคงทำสีหน้าเฉยชาเหมือนปกติ 

 

 

“คิดไม่ถึงเลยนะเนี่ย” 

 

 

“อะไร” 

 

 

“ฉันคิดว่านายเป็นพวกที่ เรื่องอะไรก็ช่างมันเถอะ อย่างนั้นซะอีก” 

 

 

“เหรอ?” 

 

 

“อือ” 

 

 

บทสนทนาที่ออกทะเลไปไหนไม่รู้นั้น ทำให้เกิดความอึดอัดขึ้นภายในห้องนั่งเล่น จองอูที่สบตากับซองจูโดยตรงนั้น ถึงกับพูดอะไรไม่ออกครู่ใหญ่ ก่อนที่เขาจะเริ่มเอ่ยปากออกมาอีกครั้ง 

 

 

“การหนีมันก็ไม่ได้แย่เสมอไปหรอกนะ” 

 

 

ซองจูตาโตกับคำพูดที่ได้ยินทันที 

 

 

“งั้น ตอนนี้นายกำลังบอกให้ฉันหนีงั้นเหรอ” 

 

 

“ก็ไม่ใช่ว่าต้องทำขนาดนั้น” 

 

 

“นายนี่มันพิลึกจริง” 

 

 

ซองจูหลุดขำออกมา แล้วจึงลุกขึ้นยืน 

 

 

“จะไปเหรอ” 

 

 

“ต้องไปสิ ถ้าบอกว่าไม่ไป ชินดงฮยอนจะทำอะไรต่อนายก็น่าจะรู้” 

 

 

“ฝากทักทายพี่เขาด้วย” 

 

 

“ไอ้นี่ อย่ามาออกคำสั่งนะ” 

 

 

ทำไม่รู้ไม่ชี้กับสายตาทิ่มแทงที่ส่งตามหลังมา ก่อนเขาจะขยับก้าวเท้าออกไป เหมือนจะอึดอัดอย่างไรก็ไม่รู้จึงได้พยายามทำเมิน แต่เขากลับรู้สึกว่าแต่ละก้าวมันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน 

 

 

 

 

 

ทางไปบริษัท รถติดกว่าที่คิด 

 

 

แม้ระยะทางจากห้องไปบริษัทจะไม่ได้ไกลมากนัก แต่เพราะเขาดันออกมาตรงกับช่วงเวลาเลิกงานของย่านคังนัมพอดีเป๊ะเสียอย่างนั้น 

 

 

 

 

 

‘การหนีมันก็ไม่ได้แย่เสมอไปหรอกนะ’  

 

 

 

 

 

คำพูดที่ได้ยินก่อนหน้านี้ยังดังแว่วอยู่ข้างหู ซองจูจับพวงมาลัยรถด้วยมือเพียงข้างเดียว นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ 

 

 

เพราะคำพูดที่คนเด็กกว่าพูดออกมาเป็นคำพูดที่หนักแน่น เสียจนทำให้ใจเขาเต้นโครมครามโดยไร้เหตุผล คิดๆ ดูแล้ว เจ้าคิมจองอูนั่นช่างเป็นคนที่รับมือได้ยากเสียจริงๆ 

 

 

สายตาหนักแน่น แล้วยังท่าทางแข็งกร้าวราวกับยอมหักไม่ยอมงอ คำพูดห้วนๆ ตรงประเด็นนั่นก็อีก ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเค้าของความประหม่าปะปนอยู่พอควร เขาคิดว่าตัวเองคงไม่มีทางตกม้าตายกับอะไรแบบนั้นแน่ แต่ทว่าอีกคนกลับแตกต่างออกไป 

 

 

“ไอ้บ้านั่น พิลึกชะมัด” 

 

 

พึมพำออกมาแผ่วเบา พยายามสลัดความคิดนั้นไปจากหัว แล้วหันกลับไปจ้องมองเส้นทางที่อยู่ตรงหน้า ทว่ารถที่แน่นเอี๊ยดทุกเลนบนถนนกลับไม่ได้มีทีท่าว่าจะลดลงไปเลย ด้วยความหงุดหงิด เขาจึงได้เอามือข้างที่ว่างมายีหัวตัวเองจนผมเผ้ากระเซอะกระเซิง และในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ที่วางนิ่งอยู่บนคอนโซลหน้ารถก็แผดเสียงร้องน่ารำคาญออกมา ดงฮยอนโทรเข้ามานั่นเอง 

 

 

“ทำไม” 

 

 

ซองจูยื่นแขนไปกดรับพร้อมเปิดสปีกเกอร์โฟน พลางตอบกลับไปอย่างห้วน ๆ 

 

 

“กำลังมาใช่ไหม” 

 

 

“รถติดอยู่เนี่ย หงุดหงิดชะมัด” 

 

 

ยังไม่ทันที่เสียงบ่นด้วยความหงุดหงิดอย่างที่สุดของซองจูจะจบ เสียงหัวเราะน่ารำคาญก็ดังแทรกผ่านสปีกเกอร์โฟนที่เปิดไว้ออกมา 

 

 

“ฮ่าๆ เวลาแบบนี้ ถ้าแถวคังนัมรถไม่ติดน่ะสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก อย่าหงุดหงิดกับเรื่องอะไรแบบนี้เลยน่า เดี๋ยวหน้าเ**่ยวไม่รู้ด้วยนะ” 

 

 

“พูดบ้าอะไรเนี่ย! เวร ถ้าไปถึงแล้วมันเป็นเรื่องไร้สาระละก็ ผมเอาพี่ตายแน่” 

 

 

“เอาเถอะ ค่อยๆ มาก็แล้วกัน” 

 

 

หัวเราะคิกๆ ส่งท้ายก่อนจะวางสายไปทันที ซองจูถึงกับกำมือแน่น พร้อมกับกัดฟันกรอดอย่างเหลืออด 

 

 

“เวรเอ๊ย เรื่องบ้าอะไรกันวะ ถึงกับต้องเรียกให้คนอื่นไปหาเนี่ย” 

 

 

พึมพำออกมาโดยที่ไม่มีใครสักคนจะให้คำตอบเจ้าตัวได้ แล้วก็ได้แต่ทนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่อย่างนั้น เพราะไม่สามารถเอาชนะอีกคนได้ 

 

 

ความมืดที่เริ่มโรยตัวลงมาช้าๆ ปกคลุมด้านนอกหน้าต่างรถ แต่ทั้งแสงไฟริมทาง และแสงไฟรถยนต์ส่องสว่างเจิดจ้าไปหมด ท่ามกลางเมืองที่ระยิบระยับด้วยแสงไฟ เขากลับต้องมาติดแหง็กอยู่ภายในรถเพียงลำพัง และก็ได้แต่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ซองจูเริ่มต้นขบคิดเรื่องชีวิตในช่วงนี้อย่างจริงจัง 

 

 

หลังจากที่จองอูโผล่เข้ามาในชีวิตของซองจู หลายอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป 

(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท

(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท

ตอนที่ 1 – 5.5 (ตอนพิเศษ) อ่านนิยาย (จบ) ฮันซองจูนักแสดงหนุ่มชื่อดังโดนคู่หมั้นสาวถอนหมั้นอย่างไร้เยื่อใย แต่แล้ววันหนึ่งเจ้าของต้นสังกัดก็ส่งคิมจองอู ชายหนุ่มแปลกหน้าให้มาพักกับเขา จากที่คิดว่าอีกคนคงจะทนไม่ได้แล้วจากไป แต่กลับกลายเป็นว่าเขาก้าวเข้ามามีอิทธิพลต่อหัวใจฮันซองจูมากกว่าที่คิด ทำไมแค่มีอีกคนอยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็รู้สึกดีขึ้นมาได้ ใครคนหนึ่งได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงให้เขามี ‘ชีวิต’ ขึ้นมา แล้วแขกไม่ได้รับเชิญที่ชื่อคิมจองอู ก็ไม่ใช่แค่คนแปลกหน้าอีกต่อไป แสดงเพิ่มเติม

Options

not work with dark mode
Reset