(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท – ตอนที่ 1-2

ตอนที่ 1-2 The blues

 

 

 

 

“บ้าเอ๊ย หยุดสักที” 

 

 

เหมือนว่ายิ่งเขาพยายามลบร่องรอยพวกนั้นเท่าไร น้ำเสียงและท่าทางออดอ้อนของซอยอนก็ยิ่งปรากฎออกมาชัดเจนในห้วงความคิด ซองจูผุดลุกขึ้นพร้อมกับเขวี้ยงหมอนทิ้งไปด้วยความโมโห 

 

 

ปึก! 

 

 

หมอนขนนกกระแทกเข้ากับผนังอย่างจัง ก่อนจะหล่นตุบลงบนพื้น หลังจากนั้นห้องทั้งห้องก็กลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง  

 

 

จากนี้ไปคงไม่ได้เจอกับซอยอนอีกแล้ว 

 

 

เขาคงต้องพยายามอดทนต่อไปอีกสักหน่อย อย่างไรเสียการแสดงละครตบตาคนอื่นมันก็เป็นพรสวรรค์พิเศษของเขาอยู่แล้ว ทำไมจะต้องเลือกวิธีที่ดูโง่เง่าแบบนั้นด้วย ถ้าลองอดทนต่อไปอีกสักหน่อย เขาก็จะไม่รู้สึกผิดอีกต่อไป 

 

 

ซองจูถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปิดดวงตาทั้งสองข้างเอาไว้ชั่วครู่ เพื่อปิดกั้นความคิดไร้สาระที่ถาโถมเข้ามา 

 

 

“รู้สึกผิดงั้นเหรอ ฉันเนี่ยนะ ฮันซองจูเนี่ยนะ” 

 

 

เจ้าของใบหน้างดงามที่ตอนนี้เต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ส่งเสียงบ่นพึมพำออกมาพร้อมเสียงหัวเราะที่ฟังดูเย็นชาเหลือเกิน และแล้วการสั่นจากโทรศัพท์มือถือที่ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะข้างเตียงก็เรียกสติที่กำลังหลุดลอยไปของซองจูกลับมาอีกครั้ง 

 

 

ครืด ครืด 

 

 

ซองจูคว้าเอาโทรศัพท์มือถือที่กำลังสั่นครืดๆ อยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาถือด้วยใบหน้าถมึงทึง แต่ทันทีที่เห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามาปรากฎอยู่บนหน้าจอว่าเป็นสายเรียกเข้าจากผู้เป็นพ่อ ใบหน้าที่เคยถมึงทึงก็ผ่อนคลายลง ก่อนเขาจะรีบกดรับสายในทันที 

 

 

“สวัสดีครับ ครับพ่อ สบายดีนะครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ” 

 

 

สีหน้าของซองจูดูอ่อนโยนขึ้นมาโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว พร้อมกับน้ำเสียงที่ใช้ในการพูดคุยก็ฟังดูอ่อนโยนมาก 

 

 

คงมีเพียงความมืดมิดที่ปกคลุมทั่วห้องนอนในเวลานี้เท่านั้นที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเขา 

 

 

“ครับ? นัดตกลงเรื่องการแต่งงานเหรอครับ” 

 

 

น้ำเสียงตื่นตระหนกของซองจูดังก้องไปทั่วห้องกว้าง  

 

 

ซองจูคือลูกชายที่แสนสุภาพ เป็นเด็กดี และว่านอนสอนง่ายของพ่อแม่มาโดยตลอด แน่นอนว่าลับหลังแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของซองจูนั้น ทั้งหยาบคาย นิสัยเสีย และเอาแต่ใจเป็นที่สุด แต่สำหรับพ่อและแม่ ท่านทั้งสองเห็นเพียงลูกชายคนโตที่น่าภาคภูมิใจ ฉลาด และวางตัวดี และพวกท่านก็เชื่อมั่นในตัวตนแบบนั้นของซองจูเสมอมา 

 

 

แต่ว่าในเวลานี้เขาคงทำแบบนั้นไม่ได้ ทำไมน่ะเหรอ ตัวเขาเพิ่งจะถูกถอนหมั้นได้ไม่ถึงเดือน กลับต้องไปร่วมตกลงเรื่องการแต่งงานของน้องชายตัวเอง ซองจูสูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับหว่างคิ้วที่ขมวดมุ่นเข้าหากัน เวลานี้เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บกดความรู้สึกไม่พอใจซึ่งกำลังตีตื้นขึ้นมาให้กลับลงไป ในขณะที่อีกด้านก็คอยรับฟังสิ่งที่พ่อกำลังพูด 

 

 

“ซองจู ลูกคงจะคิดมากเพราะเรื่องของซอยอนใช่ไหม” 

 

 

เพราะน้ำเสียงที่ถามกลับมาด้วยความเป็นห่วงของผู้เป็นพ่อ ทำให้ความรู้สึกไม่พอใจพวกนั้นเจือจางลงไปบ้างเล็กน้อย จากนั้นผู้เป็นพ่อก็เอ่ยถามขึ้นเพราะนึกถึงเรื่องที่ภรรยาบอกมา เรื่องที่ซอยอนมายกเลิกการแต่งงาน นั่นจึงเป็นการเปิดโอกาสให้ซองจูรีบคว้าเอาไว้ 

 

 

“ครับ เอาตามตรง ผมเองเพิ่งจะถูกถอนหมั้นได้ไม่นาน การที่จะให้เข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องน่ายินดีแบบนั้น ผมเองก็รู้สึกไม่สะดวกใจสักเท่าไร…” 

 

 

“แต่แม่เราเขาอยากจะใช้โอกาสนี้ ให้ทุกคนในครอบครัวมารวมตัวพร้อมหน้าพร้อมตากันนะ” 

 

 

“อืม…ฮเยจอง ไม่สิ ผมเองก็อยากเจอน้องสะใภ้ เพราะพวกเราก็ไม่ได้เจอกันมาตั้งนานแล้ว แต่เราก็ต้องนึกถึงความรู้สึกของผู้ใหญ่ทางฝ่ายเจ้าสาวด้วยนะครับ ผมขอลองคุยกับซองฮีดูก่อน แล้วจะบอกอีกทีนะครับ พ่อกับแม่ไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ” 

 

 

“พ่อกับแม่น่ะเหรอจะมีปัญหาอะไร แม่เราเขาก็ไปบรรยายพิเศษ ส่วนพ่อก็ไปทำงานที่บริษัทตามปกติ ปีหน้าแม่เขาก็จะได้หยุดพักแล้ว พ่อเองก็ตั้งใจจะเพลาๆ งานลงบ้างเหมือนกัน”  

 

 

“รักษาสุขภาพด้วยนะครับ พักผ่อนบ้าง อย่าหักโหมมากเกินไปนะครับ”   

 

 

“อืม รู้แล้ว ลูกเองก็ดูแลตัวเองด้วย อย่าอดอาหารเข้าใจไหม ไปลองคุยกับซองฮีให้เรียบร้อย แล้วก็โทรมาบอกพ่อหน่อยนะลูก”  

 

 

“ครับพ่อ ราตรีสวัสดิ์ครับ” 

 

 

หลังวางสายจากผู้เป็นพ่อแล้ว ซองจูก็จ้องหน้าจอโทรศัพท์อยู่ครู่นึง จนตอนนี้หน้าจอดับลงและกลับกลายเป็นสีดำอีกครั้ง เขาจึงได้โยนมันกลับลงไปบนเตียง 

 

 

“บ้าเอ๊ย ไอ้น้องเวร รู้อยู่แล้วก็ยังจะ…” 

 

 

ท้ายที่สุดซองจูก็โพล่งความรู้สึกโมโหทั้งหมดออกมา เขาสบถออกมาด้วยความหงุดหงิด ในตอนนี้ทั้งสีหน้าและแววตาของเขา มันเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“อะไร พูดธุระมาสิ ยังไงซะนายก็เรียกฉันมา เพื่อจะบอกเรื่องที่จะไม่ไปนัดตกลงเรื่องงานแต่งงานของฉันอยู่แล้วไม่ใช่รึไง” 

 

 

อย่างที่คิด แม้จะไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายเดือน แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่พวกเราจะพูดคุยกันได้ราบรื่น โดยไม่ทะเลาะกัน 

 

 

มาถึงปุ๊บก็เปิดประเด็นที่เขาเรียกให้อีกฝ่ายมาพบในทันที แถมยังพูดออกมาทั้งที่นั่งพิงโซฟาพร้อมไขว่ห้างอย่างอวดดีแบบนั้นอีก น้องชายของเขาไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ซองจูแค่นเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกับกระตุกยิ้มที่มุมปาก 

 

 

“เหอะ โตขึ้นเยอะนี่” 

 

 

“ฉันโตกว่านายก็แล้วกัน” 

 

 

“ไอ้น้องเวร ท่าจะประสาท หัดเล่นมุกปัญญาอ่อนกับเขาด้วยรึไง ฉันไม่ตลกด้วยหรอกนะ” 

 

 

ซองจูส่งเสียงหัวเราะเยาะใส่น้องชายตัวเอง พร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม ซองจูกวาดสายตามองไปยังซองฮีซึ่งเชิดหน้าขึ้นอย่างน่าหมั่นไส้ เห็นแบบนั้นก็ทำเอาเขาเริ่มชักสีหน้าขึ้นมาบ้าง 

 

 

“นายคิดแต่จะทำตามใจตัวเองอย่างเดียวหรือไง หา?” 

 

 

“อะไรล่ะ” 

 

 

“ฉันไม่ไปที่นั่นหรอกนะ” 

 

 

“พ่อบอกฉันแล้ว นี่คงไม่ใช่เหตุผลที่นายเรียกให้คนที่ไม่ได้มีเวลาว่างมากอย่างฉันมาหาหรอกใช่ไหม” 

 

 

“คิดจะกวนรึไง ไอ้น้องเวร” 

 

 

ใบหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์และคำพูดสุขุมของซองฮี ทำเอาซองจูถึงกลับแสดงท่าทีเหลืออดออกมา ถึงอย่างไร ไอ้บ้านี่ก็ไม่เคยมีอะไรที่เป็นที่น่าพอใจสำหรับเขามาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว หว่างคิ้วของซองจูขมวดมุ่นจนชิดติดกัน ใบหน้านั้นดูไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง แล้วยังสายตาพิฆาตที่จ้องเขม็งไปยังน้องชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั่นอีก 

 

 

หน้าตาดีใช่เล่น เกิดมาพร้อมรูปลักษณ์สมชายชาตรี ไม่ว่าจะไปที่ไหนผู้คนต่างก็ตั้งคำถามว่าซองฮีเป็นพวกนายแบบที่คอยดูรูปร่างอยู่ตลอดเวลาใช่หรือไม่ ทั้งส่วนสูงที่มากกว่าเขาห้าเซนติเมตร รูปร่างพอดีพอเหมาะในแบบผู้ชาย และสัดส่วนที่ยอดเยี่ยม ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ได้รับถ่ายถอดมาจากผู้เป็นพ่อ โครงหน้าที่เห็นสันกรามชัดราวกับคมดาบ จมูกโด่งเป็นสัน แพขนตาหนา และดวงตากลมโตล้วนทำให้อีกคนดูมีเสน่ห์อย่างเป็นธรรมชาติ 

 

 

เทียบกันแล้ว ซองจูนั้นดูคล้ายผู้เป็นแม่มากกว่า ความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่ไม่สามารถโกหกได้ ส่วนสูงร้อยแปดสิบเซนติเมตร แม้ว่าจะมีกล้ามเนื้อพอเหมาะในยามถอดเสื้อ แต่เวลาสวมใส่เสื้อผ้าเขากลับดูเพรียวระหง มีทรวดทรงโค้งเว้าที่ไม่รู้มาจากไหน ส่วนใบหน้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง มันดูอ่อนหวานจนค่อนไปทางสวยเลยละ แม้จะมีเส้นโครงหน้าเด่นชัด แต่มันกลับมีเสน่ห์แบบอ่อนหวานน่าดึงดูด 

 

 

ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือน้องชายต่างก็ดึงดูดสายผู้คนได้เช่นกัน แต่แท้จริงแล้ว นิสัยของเรานั้นต่างกันคนละขั้ว เช่นเดียวกับขนาดตัวที่แตกต่าง ทั้งนิสัยและทัศนคติของพวกเขาไม่ตรงกันเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องที่พวกเขาคือพี่น้องกันก็คือเรื่องจริงแท้แน่นอน ใบหน้าของซองจูกลับไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

“อะไรกัน แค่พูดไม่ถูกใจนี่ถึงกับต้องหัวร้อน น้องชายร่วมสายเลือดจะแต่งงานทั้งที แต่นายกลับไม่พอใจที่ต้องไปร่วมพูดคุยตกลงเรื่องการแต่งงานอย่างงั้นเหรอ” 

 

 

วันนี้ก็เช่นกัน คำพูดคำจาของซองฮีกำลังทำให้ความรู้สึกที่เขาพยายามสะกดกั้นมันเอาไว้อย่างยากเย็นปะทุขึ้นมา ทันทีที่สิ้นเสียงคำพูดนั้น 

 

 

“ก็แล้วไง แล้วมันทำไม” 

 

 

น้ำเสียงที่เริ่มหงุดหงิดมาตั้งแต่เมื่อครู่ของซองจู ตอนนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะของเจ้าตัวที่เดือดปะทุขึ้นมา 

 

 

“นี่ ฮันซองฮี” 

 

 

“ทำไม” 

 

 

“ในสมองของนายน่ะ เคยคิดถึงฉันบ้างสักเสี้ยวนึงไหม” 

 

 

“ว่าไงนะ?” 

 

 

ตอนนี้ซองฮีถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้าฉายชัดว่าไม่เข้าใจคำถามที่ตนเองได้ยิน ซองจูที่เห็นดังนั้นก็เริ่มต้นไล่ต้อนอีกฝ่าย 

 

 

“นายน่ะคิดว่าการแต่งงานในตอนนี้เวลานี้มันเหมาะสมที่สุดแล้ว นั่นก็เพราะว่านายไม่ได้คิดถึงใจฉันเลยสักนิดเดียว ว่าไง? หรือไม่ใช่?” 

 

 

“หยุดโวยวาย พูดพล่ามบ้าบอได้แล้ว ให้ตายสิ นายบอกว่าฉันไม่คิดถึงใจนายงั้นเหรอ งั้นบอกมาสิว่านายต้องการอะไร หา?” 

 

 

น้ำเสียงโมโหที่ท้วงถามพี่ชายซึ่งไม่ยอมพูดเข้าประเด็นสักทีนั้นดังก้องไปทั่วห้อง ราวกับว่ามันวิ่งวนไปมารอบ ๆ แต่ซองจูก็ยังเลือกที่จะมองข้าม 

 

 

“ที่ถามเพราะไม่รู้เหรอ จำเป็นมากหรือไงที่ต้องมาพูดตกลงเรื่องงานแต่งงานกันตอนนี้ ถ้าคนอย่างนายพอจะมีความรู้สึกใส่ใจและคิดถึงใจคนอื่นอยู่บ้างแล้วละก็ นายก็ควรจะคิดถึงใจของฉันบ้างสิ ฉันเพิ่งถูกถอนหมั้นมา แล้วนายก็ดันสติเลอะเลือนมาบอกว่าจะแต่งงานตอนนี้เนี่ยนะ” 

 

 

“อะไรนะ? เลอะเลือน? นี่ ฮันซองจู นายพล่ามจบหรือยัง” 

 

 

“หยาบคายถึงขั้นเรียกแค่ชื่อเลยงั้นเหรอ ฉันเป็นพี่ชายนายนะโว้ย” 

 

 

“งั้นนายก็ควรทำตัวให้เหมาะกับการเป็นพี่ซะบ้างสิ ไอ้บ้านี่” 

 

 

ในที่สุดทั้งสองก็เริ่มต้นสงครามน้ำลาย 

 

 

“ถอนหมั้น? นั่นสิ ที่นายพูดมันก็ใช่ แต่ถ้านายรีบตัดสินใจว่าจะแต่งงาน หรือจะถอนหมั้นให้มันเรียบร้อยซะตั้งแต่แรกๆ มันจะเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นรึไง แต่นี่นายปล่อยทิ้งไว้ตั้งห้าปี เพราะนายฉันถึงต้องยืดเวลาแต่งงานออกไป ฉันรอมาตั้งหกปีแล้วนะ! ถ้านายมีความละอายใจอยู่บ้าง ก็คงจะไม่พูดพล่ามบ้าบอแบบนั้นออกมาหรอก อะไรนะ? เห็นใจ? นายมันไม่รู้จักคิด ฉันเป็นคนวางแผนเรื่องแต่งงานงั้นเหรอ? พ่อเป็นคนเสนอให้ฉันรีบแต่งงานซะก่อนที่มันจะช้าไปกว่านี้ นายลืมไปแล้วหรือไง คิดดูให้ดีสิ คุณฮันซองจูคนฉลาด” 

 

 

ใบหน้าที่แสนสมบูรณ์แบบของซองฮีเปลี่ยนเป็นแดงจัดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทั้งตามหน้าผากและขมับก็ปรากฎเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และยังมือที่กำแน่นจนข้อขึ้นสีขาว ตัวเขายังไม่เคยเห็นน้องชายตัวเองโกรธขนาดนี้มาก่อนเลย พอได้เห็นชัดๆ เต็มตาแบบนี้ ก็ทำเอาซองจูตกใจจนทำตัวไม่ถูก ดวงตาทั้งสองถึงกับเบิกกว้างขึ้นราวกับดวงตากระต่ายยามมันตื่นตกใจ 

 

 

“เพราะมันไม่ได้เป็นอย่างที่นายหวังมาตั้งแต่ต้น ก็เลยพาลไม่พอใจอย่างนั้นสินะ นายก็เป็นซะอย่างนี้ จะทำแค่เรื่องที่พอใจจะทำ ส่วนเรื่องที่ไม่ชอบใจให้ตายยังไงก็ไม่มีทางทำเด็ดขาด นายตัดสินใจจะแต่งงานกับพี่ซอยอนเพราะรักงั้นเหรอ? มันไม่ใช่อยู่แล้ว นายต้องการแค่เงินแล้วก็อำนาจจากครอบครัวนั้นต่างหาก คนที่เขารักกันจริงๆ น่ะ เวลาที่ความสัมพันธ์ทุกอย่างมันจบลง เขาคงจะมัวมาพยายามหาข้ออ้าง เพื่อให้ตัวเองได้กลายเป็นฝ่ายที่ถูกทอดทิ้งอย่างที่นายอยู่ทำหรอกนะ นายมันก็ดีแต่สร้างปัญหาให้คนอื่น เรื่องของตัวเองยังจัดการไม่ได้ แล้วยังมีหน้ามาเรียกร้องให้คนอื่นเห็นใจอีก ปัญญาอ่อนชะมัด” 

(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท

(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท

ตอนที่ 1 – 5.5 (ตอนพิเศษ) อ่านนิยาย (จบ) ฮันซองจูนักแสดงหนุ่มชื่อดังโดนคู่หมั้นสาวถอนหมั้นอย่างไร้เยื่อใย แต่แล้ววันหนึ่งเจ้าของต้นสังกัดก็ส่งคิมจองอู ชายหนุ่มแปลกหน้าให้มาพักกับเขา จากที่คิดว่าอีกคนคงจะทนไม่ได้แล้วจากไป แต่กลับกลายเป็นว่าเขาก้าวเข้ามามีอิทธิพลต่อหัวใจฮันซองจูมากกว่าที่คิด ทำไมแค่มีอีกคนอยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็รู้สึกดีขึ้นมาได้ ใครคนหนึ่งได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงให้เขามี ‘ชีวิต’ ขึ้นมา แล้วแขกไม่ได้รับเชิญที่ชื่อคิมจองอู ก็ไม่ใช่แค่คนแปลกหน้าอีกต่อไป แสดงเพิ่มเติม

Options

not work with dark mode
Reset