(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท – ตอนที่ 5-3

ตอนที่ 5-3 เยียวยา

 

 

 

 

“ลั้ลลา ลั้ลลา” 

 

 

ซองจูเอาแต่ฮัมเพลงทั้งที่ไม่เคยทำมานานมากแล้ว เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาบุกเข้าไปยังห้องซ้อมของซองฮี พอได้สอดส่องด้วยตาตนเองจนพอใจแล้ว อารมณ์ที่ดิ่งลงอยู่ช่วงหนึ่งก็กลับมาสดใสเบิกบานอย่างรวดเร็ว ยิ่งเขาคิดถึงมัน ก็ยิ่งทำให้อารมณ์ดีจนเหมือนเป็นพวกไบโพลาร์ ถึงขนาดที่ทำให้มินซิกต้องถามว่าเขาไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นซองจูก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรมินซิก เพราะว่าเขาน่ะ อารมณ์ดีมากๆ เลยละ 

 

 

ถึงเรื่องที่เราเป็นคนรักกันจะไม่ได้ถูกป่าวประกาศไปทั่ว แต่ว่าในบรรดาคนรอบตัวที่รับรู้ต่างก็จับตามองความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจองอู แต่เขากลับสบายใจ แน่นอนว่ามีคนมองว่ามันเป็นเรื่องที่เสียสติ แต่ถึงอย่างไร หลังจากวันนั้นเวลาที่ซองจูไปเจอจองอูที่ทำงานกับวงคราฟท์ ทุกคนก็ไม่ได้ทำท่าอึดอัดใจ ดังนั้นจองอูจึงได้สามารถทำงานต่อไปได้อย่างสบายใจ ซึ่งมันก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายเลย 

 

 

“อีกเดี๋ยวจองอูก็จะมาแล้ว พอก่อนดีกว่า” 

 

 

เขาวางบทที่ถือเอาไว้ลง แล้วจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง ซองจูพยายามแกะบทอย่างละเอียดเพื่อทำความเข้าใจกับคาแรกเตอร์ให้ได้อย่างถ่องแท้ มันเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า เจ้าตัวไม่ได้ทำงานนี้อย่างส่งๆ ซองจูขยับตัวไปทางห้องครัว เมื่อเท้าเหยียบเข้าไปถึงที่นั่น ก็ได้ยินเสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้นมาในทันที 

 

 

“อะไรกัน ใครมาเวลานี้เนี่ย” 

 

 

เจ้าตัวบ่นพึมพำออกมา ก่อนจะค่อยๆ เดินไปทางประตู 

 

 

“บ้าอะไรเนี่ย…หมอนั่นมีเรื่องอะไร” 

 

 

ใบหน้าของซองจูที่ตอนแรกไม่ได้คิดอะไร เมื่อได้มองไปยังมอนิเตอร์ สีหน้าของเขาก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที คนที่อยู่ในจอมอนิเตอร์ไม่ใช่ใครอื่น หากเป็นซองฮีนั่นเอง 

 

 

“มีอะไร มาหาฉันถึงนี่เลยนะ” 

 

 

พอซองจูเปิดประตูออกก็โพล่งถามซองฮีออกไปในทันที ไม่ได้คิดจะชวนอีกฝ่ายทะเลาะ แต่เขาถามเพราะกำลังรู้สึกสงสัยจริงๆ ซองฮีแทรกตัวเข้ามาภายในห้อง โดยไม่ได้ตอบคำถามนั้น 

 

 

“อยู่คนเดียวเหรอ” 

 

 

“เคยเห็นมีใครเข้ามาในห้องฉันหรือไงล่ะ” 

 

 

“ก็มินซิกกับจองอูไง” 

 

 

“มินซิกมาเมื่อเช้า แล้วก็กลับไปแล้ว ส่วนจองอูไม่อยู่” 

 

 

คำตอบนั้นทำให้สีหน้าของซองฮีผ่อนคลายลงนิดหน่อย 

 

 

“อะไรของนาย นี่คงไม่ได้ตั้งใจจะมาคุยกับฉันอย่างนั้นหรอกใช่ไหม”  

 

 

ซองฮีไม่ได้แสดงท่าทีปฏิเสธ 

 

 

“เรื่องอื่นนายจะเอาแต่ใจตัวเองยังไงก็เรื่องของนาย…” 

 

 

“พูดบ้าอะไร” 

 

 

“เพราะนิสัยเฮงซวยของนาย ทำให้ฉันห่วงแทบบ้า กลัวว่านายจะทำผิดกับจองอู ถ้าเกิดนายทำผิดกับจองอูขึ้นมา ฉันไม่อยู่เฉยๆ แน่” 

 

 

ซองจูที่ได้ยินคำพูดนั้นของอีกคน ก็ได้แต่รู้สึกว่ามันช่างเหลวไหลสิ้นดี 

 

 

“นายบ้าไปแล้วหรือไง” 

 

 

คำพูดนั้นทำเอาซองฮีขมวดคิ้วมุ่น 

 

 

“ถ้าจะเป็นห่วง นายควรต้องห่วงฉันไหม ฉันเป็นพี่ชายนายนะ ฮันซองจูคนนี้เนี่ย ตั้งสติหน่อยเถอะ” 

 

 

“ฉันบอกแล้วใช่ไหม อย่ามาเสแสร้งทำตัวเป็นพี่ ถ้านายไม่ได้มีความเป็นพี่เลยสักนิด” 

 

 

“ถึงยังไงความจริงที่ว่าฉันเป็นพี่ชายนายมันก็ไม่มีทางเปลี่ยนไปหรอกนะ แล้วฉันก็ไม่เคยคิดจะทำตัวเป็นพี่ชายอยู่แล้วด้วย” 

 

 

“เมื่อไม่กี่วันก่อน ที่ซื้อของกินเข้ามานั่นล่ะ นั่นคืออะไรเหรอ” 

 

 

“ฉันซื้อไปให้นายกินงั้นเหรอ ฉันซื้อไปให้จองอูกินต่างหากล่ะ นายนี่มันไม่มีเซ้นส์ซะเลยนะ” 

 

 

คำพูดที่ทำให้อึ้งจนพูดไม่ออกนั่น ทำเอาแววตาของซองฮีเหมือนมีประกายไฟลุกโชติช่วงขึ้นมา 

 

 

“นี่ อย่าห่วงเลย ถึงนายจะไม่ห่วง ฉันก็กำลังพยายามทำให้มันผ่านไปด้วยดีอยู่แล้ว ถ้าเกิดทะเลาะกัน มันก็เป็นเรื่องของฉันกับเจ้าเด็กนั่น ทำไมนายต้องเสนอตัวมายุ่งด้วยล่ะ ฉันเคยเข้าไปยุ่งตอนนายคบกับฮเยจองหรือไง” 

 

 

“ก็มันน่าเป็นห่วงนี่!” 

 

 

“ฉัน? หรือว่าคิมจองอู” 

 

 

เขาถามพร้อมกับพยักพเยิดหน้าให้กับซองฮี ซึ่งอีกคนไม่ได้ตอบกลับมาในทันที อันที่จริงเขาก็ห่วงพี่ชายพอๆ กับจองอูนั่นล่ะ 

 

 

สิ่งหนึ่งที่ซองฮีรู้ก็คือนิสัยของคนทั้งคู่ไม่ได้เข้ากันเลย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นมนุษย์ประเภทที่คล้ายคลึงกัน เป็นพวกที่เข้ากับคนในสังคมไม่เก่ง มีอะไรก็มักจะอดทนและเก็บกดมันเอาไว้ แล้วในช่วงวิกฤตของชีวิต คนทั้งคู่ก็กลับมามีชีวิตใหม่ได้อีก นั่นคือสิ่งที่เหมือนกันของทั้งคู่ หากในระหว่างที่ทั้งคู่คบกัน ดันเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา มันคงจะจัดการได้ไม่ง่ายดายนัก ถึงในตอนนี้เขาจะอยู่ข้างจองอู แต่หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ ซองฮีก็พร้อมที่จะกลับไปยืนข้างซองจูในทันที นั่นคือสิ่งที่เขาตั้งใจไว้อยู่แล้ว 

 

 

“เฮ้อ ตอนนี้เรื่องนั้นมันสำคัญนักหรือไง” 

 

 

“สำคัญอยู่แล้ว แต่ว่านายไม่ต้องตอบหรอกนะ” 

 

 

“อะไร นายจะเอาไงกันแน่ ถ้าแบบนั้นนายจะถามทำไม” 

 

 

ซองจูที่มองมาทางซองฮี แล้วจึงค่อยเปิดปากตอบ 

 

 

“ถ้านายจะห่วง นายก็ควรห่วงเราทั้งคู่ แต่ถ้าจะดูแลใครสักคนก็ให้ดูแลจองอูก็พอ ไม่ต้องสนใจฉัน” 

 

 

“พูดบ้าอะไรอีกล่ะนั่น…” 

 

 

คำพูดของพี่ชายทำเอาเขาไม่เข้าใจความคิดของอีกคนเลย มันกำลังทำให้ซองฮีสับสน คำพูดของผู้เป็นน้องชายจึงได้ขาดห้วงไป ในระหว่างนั้นซองจูจึงพูดต่ออีกครั้ง 

 

 

“อย่างที่นายพูด เจ้านั่นเป็นคนที่ไม่มีใครเลย ไม่มีใครเข้าข้าง แล้วก็ไม่มีครอบครัวด้วย ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างฉันกับจองอู ยังไงซะ ฉันก็ยังมีคนคอยอยู่เคียงข้าง ทั้งมินซิก ทั้งพี่ดงฮยอน แต่ว่าเจ้าเด็กนั่น นอกจากพี่ดงฮยอนก็ไม่มีใครอีกแล้ว เพราะฉะนั้นนายก็อยู่ข้างคิมจองอูไปนั่นแหละ ยังไงนายก็ไม่ได้ชอบใจฉันอยู่แล้ว แบบนั้นก็เหมาะเจาะพอดีเลยไง หรือว่าไม่ใช่” 

 

 

คำพูดนั้นทำให้ซองฮีพูดอะไรไม่ออก 

 

 

“แต่ยังไงการที่นายบุกมาถึงที่นี่ แล้วมาแสดงท่าทางนักเลงใส่กันแบบนี้ ฉันคงไม่ทนด้วยหรอกนะ จะห่วงก็ช่วยห่วงอยู่ในใจก็พอนะ การที่นายมาแสดงท่าทีไม่เข้าท่ากับพี่น้องสายเลือดเดียวกันแบบนี้ มันก็ทำให้เหนื่อยเหมือนกันนะ” 

 

 

ซองจูพูดเช่นนั้น ก่อนจะขยับไปทางห้องนั่งเล่นอย่างช้าๆ 

 

 

“พูดจบแล้วใช่ไหม ถ้างั้นก็รีบๆ กลับไปซะ อีกเดี๋ยวจองอูก็จะกลับมาแล้ว ถ้าเห็นนายกับฉันอยู่ด้วยกันแบบนี้ คงได้สงสัยตายว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ฉันไม่อยากให้เจ้านั่นมาเห็นเข้าหรอกนะ” 

 

 

ซองจูออกมาพูดเช่นนั้น ด้วยท่าทางพร้อมไล่แขกไม่รับเชิญออกไป ซองฮีที่แสดงท่าทีข่มขู่ออกมา ต่างจากปกติที่มักจะสุขุมเยือกเย็น ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ก่อนจะออกจากห้องของซองจูไปด้วยท่าทางราวกับถูกบังคับ 

 

 

รู้สึกปวดหัวจี๊ดขึ้นมาเสียอย่างนั้น 

 

 

เขาคิดว่าอีกคนคงไม่ได้คบหากันอย่างลึกซึ้งอะไรนัก เหมือนกับคราวของเซจอง แต่ดูแล้วจองอูพิเศษกับซองจูมากกว่าที่คิดเสียอีก จากที่เป็นห่วงจองอูว่าจะต้องเจ็บปวดจากความสัมพันธ์ครั้งนี้ กลับกลายเป็นซองจูที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่า ซองฮีเริ่มกังวลว่าเพราะนิสัยใจร้อนของตัวเองจะไปสร้างบาดแผลให้ซองจูหรือไม่ กับซองจูที่เป็นที่คาดหวังของพ่อแม่ เขารู้ดีกว่าใครว่าการทำแบบนั้นมันเป็นการแหกคอกดีๆ นี่เอง 

 

 

“เจ้าพี่ชายงี่เง่าเอ๊ย…” 

 

 

ตลอดเวลาที่เดินกลับไปยังรถที่จอดทิ้งไว้แถวๆ นั้น นอกจากประโยคนั้นแล้ว ซองฮีก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก วันนี้มันช่างทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ในใจเสียจริง 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

[นี่ ผู้กำกับคนนี้เป็นพวกโรคจิตชัดๆ ซีนเดียวแต่สั่งให้ถ่ายเป็นสิบๆ ครั้ง เหนื่อยจะตายอยู่แล้วเนี่ย] 

 

 

[ถึงอย่างนั้น ก็ได้เรียนรู้อะไรตั้งเยอะแยะไม่ใช่เหรอ] 

 

 

[โดนขนาดนั้นมันก็แน่อยู่แล้ว! ฉันเองเวลาทำงานก็เป็นพวกจู้จี้ แล้วก็ชอบความสมบูรณ์แบบอยู่แล้วนะ แต่พอเทียบกับคนๆ นี้แล้วคนละเรื่องเลย…] 

 

 

[ทนหน่อยเถอะ อีกไม่นานก็ถ่ายจบแล้วไม่ใช่เหรอ] 

 

 

[เหลืออีกตั้งอาทิตย์นึงเลยนะ] 

 

 

ในยามบ่าย หลังจากถ่ายภาพยนตร์เสร็จแล้ว ซองจูก็หมกตัวอยู่ในห้องพัก และเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับหน้าจอมือถือ 

 

 

เขาคิดว่าการถ่ายทำภาพยนตร์แนวชีวิตสบายๆ มันคงไม่หนักหนาอะไรสักเท่าไร แต่ทว่า ดูเหมือนซองจูจะคิดผิดมหันต์ ผู้กำกับอาวุโสที่ถูกเรียกขานว่าเป็นปรมาจารย์ด้านภาพยนตร์ แท้จริงเป็นพวกคลั่งความเพอร์เฟกต์ เพื่อซีนเดียว เขากลับสั่งเทคแล้วเทคอีกเป็นสิบเป็นร้อยครั้ง ไม่ได้ต่างจากเสียงร่ำลือเลยสักนิด เพราะแบบนั้นซองจูจึงต้องถ่ายฉากเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า จนล้าไปหมดแบบนี้ 

 

 

แน่นอนว่าสิ่งที่เขาได้รับกลับมาก็อย่างที่จองอูบอกนั่นแหละ แต่ปัญหาอยู่ที่ร่างกายที่อ่อนล้าไปหมดนี่ต่างหาก 

 

 

นอกจากนี้โลเคชั่นตามเนื้อเรื่องอยู่ที่ชนบท ดังนั้นโลเคชั่นในการถ่ายทำทั้งหมดจึงอยู่ในเขตชนบท ตลอดเวลาหนึ่งเดือนนั้นเขาคุ้นเคยกับการที่ต้องขนข้าวของมาอยู่ที่โรงแรม แล้วก็ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ มันทำให้คิดถึงสมัยเรียนที่ต้องทนลำบากเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยตัวเอง ไม่มีใครมาคอยดูแลยิ่งกว่าตอนนี้ ความลำบากตอนนี้จึงไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่สักเท่าไร สิ่งที่ลำบากจริงๆ คือการที่ต้องอยู่ห่างจากจองอูต่างหาก 

 

 

พอถ่ายทำเสร็จซองจูก็จะรีบกลับมายังที่พัก แล้วก็ส่งข้อความไปปลุกจองอูให้ตื่นมาคุยกัน ซึ่งมันมักจะทำให้เขาคิดไปถึงช่วงเวลาก่อนนี้ ที่จองอูทิ้งเขาไว้แล้วก็หนีไป เทียบกับตอนนั้นแล้ว การได้คุยโทรศัพท์ ได้ส่งข้อความหากันแบบนี้ ยังนับว่าดีกว่าตอนนั้นอยู่มาก เขาไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ หากไม่มีความอบอุ่นและความผ่อนคลายที่ได้รับจากอีกคน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาใช้ชีวิตแบบนี้ ซองจูคิดว่าตัวเองกำลังเสพติดจองอูเข้าให้แล้ว 

 

 

“ฮันซองจูสบายดีนะ” 

 

 

“อะไร มาทำไม” 

 

 

“มันก็แน่นอนอยู่แล้วนี่ที่ประธานต้องมาดูแลนักแสดงในสังกัดน่ะ นายควรจะรู้สึกเป็นเกียรติด้วยซ้ำ ทำไม ถ้าฉันจะมาดูแลนายทุกวันแล้วมันจะทำไม” 

 

 

ดงฮยอนที่เปิดประตูเข้ามาแบบกะทันหัน ทำให้ซองจูเบะปากออกมาในทันที คนที่อยากให้มากลับไม่ยื่นจมูกมาให้เห็น แต่คนไร้ประโยชน์พวกนี้ก็มากันบ่อยเสียเหลือเกิน แต่อย่างไรในสายตาคนอื่น ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่เหมาะจะออกมาแสดงตัวนัก แม้จะรู้ดีว่าเรื่องที่อีกคนจะโผล่มาถึงที่นี่มันช่างริบหรี่ แต่เขาก็ยังอดบ่นพึมพำออกมาไม่ได้ 

 

 

จองอูที่เมื่อครู่ยังส่งข้อความคุยกับเขา จู่ๆ ก็ดันมีงานด่วนแทรกเข้ามา เลยได้แต่ส่งข้อความทิ้งท้ายไว้ว่าเดี๋ยวจะติดต่อกลับมาใหม่ ก่อนจะหายไป ซองจูจึงยิ่งเบะปากออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์ 

 

 

“คราวนี้มีเรื่องอะไรอีก” 

 

 

“เฮ้อ นายนี่ วันนี้ตอนถ่ายมีเรื่องอะไรหรือไง ทำไมถึงได้ดูหงุดหงิดขนาดนี้” 

 

 

“เฮ้อ ไม่รู้สิ เอาแต่บอกให้เล่นซีนเดิมซ้ำๆ จนจะบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย ถ้าบอกให้ลองเปลี่ยนโทนเสียงตอนแสดงก็ไม่อะไรหรอก แต่ที่มันน่าหงุดหงิดคืออะไรรู้ไหม ถ่ายซีนเดียวอยู่เกือบจะร้อยรอบ แต่สุดท้ายก็บอกว่าที่ถ่ายไปอันแรกดีกว่า พอเป็นแบบนั้น ทุกครั้งที่โดนสั่งให้ถ่ายใหม่ รู้สึกเหมือนจะคลุ้มคลั่งไปจริงๆ เลยนะ พี่ ฉันมาถ่ายเรื่องนี้ทำไมเนี่ย” 

 

 

เสียงพร่ำบ่นของซองจู ทำเอาดงฮยอนถึงกับขำออกมา 

 

 

“ฮ่าๆ โธ่ ฟังดูแล้วมันก็น่าหงุดหงิดนั่นแหละ แต่ว่านะ ทำไงได้ ตอนเริ่มก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าการถ่ายทำมันจะเป็นแบบนั้นนี่นา นายเองก็จะได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างด้วย” 

 

 

“โอ๊ย พี่ก็ยังมาพูดแบบเดียวกันอีก” 

 

 

คำพูดของซองจูทำให้ดงฮยอนเกิดความสงสัย 

 

 

“ใคร ใครพูดแบบนั้นเหรอ” 

 

 

“ก็มีแล้วกันน่า” 

 

 

ท่าทางตอบปัดอย่างไม่ใส่ใจของซองจู ทำให้ดงฮยอนที่ได้เห็นท่าทางนั้นถึงกับยกยิ้มมุมปาก คงเป็นเจ้าจองอูสินะที่พูดน่ะ เขาคิดเช่นนั้น ก่อนจะโยนบางอย่างไปหาซองจูโดยไม่บอกอะไร 

 

 

“นี่ รับไปซะ” 

 

 

“เฮ้ย! อะไรเนี่ย ไอ้นี่น่ะ” 

 

 

ซองจูรีบเอื้อมมือไปรับเจ้าวัตถุปริศนาที่ลอยละลิ่วมาหาตัวเองเอาไว้ สิ่งที่อยู่ในมือเขาตอนนี้ก็คือ USB อันเล็กๆ อันหนึ่ง 

 

 

“ไอ้นี่มันอะไรอีก คงไม่ใช่หนังโป๊อะไรแบบนั้นหรอกนะ”

(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท

(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท

ตอนที่ 1 – 5.5 (ตอนพิเศษ) อ่านนิยาย (จบ) ฮันซองจูนักแสดงหนุ่มชื่อดังโดนคู่หมั้นสาวถอนหมั้นอย่างไร้เยื่อใย แต่แล้ววันหนึ่งเจ้าของต้นสังกัดก็ส่งคิมจองอู ชายหนุ่มแปลกหน้าให้มาพักกับเขา จากที่คิดว่าอีกคนคงจะทนไม่ได้แล้วจากไป แต่กลับกลายเป็นว่าเขาก้าวเข้ามามีอิทธิพลต่อหัวใจฮันซองจูมากกว่าที่คิด ทำไมแค่มีอีกคนอยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็รู้สึกดีขึ้นมาได้ ใครคนหนึ่งได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงให้เขามี ‘ชีวิต’ ขึ้นมา แล้วแขกไม่ได้รับเชิญที่ชื่อคิมจองอู ก็ไม่ใช่แค่คนแปลกหน้าอีกต่อไป แสดงเพิ่มเติม

Options

not work with dark mode
Reset