(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท – ตอนที่ 1-6

ตอนที่ 1-6 The blues

 

 

 

 

ในขณะที่บ่นพึมพำอยู่อย่างนั้น เขาก็เดินไปเปิดประตู ทันทีที่ประตูเปิดออก ภาพที่ปรากฏตรงหน้า ก็คือเจ้ามินซิกที่ดวงตาเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตากำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าประตู และใบหน้าไร้อารมณ์ของจองอูที่กำลังมองมาที่มินซิก ซองจูกะพริบตาทีหนึ่ง ก่อนจะหันไปส่งเสียงคำรามใส่ร่างที่คุ้นเคยกันอย่างดีของเจ้ามินซิก 

 

 

“นี่! มินซิก หน้าตาก็ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้ว ทำไมยังมาทำอะไรแบบนั้นอีก ฉันก็ออกมากินข้าวแล้วนี่ไง เลิกร้องไห้ได้แล้ว” 

 

 

“…มะ ไม่ร้องแล้วครับ” 

 

 

บอกว่าจะไม่ร้องทั้งที่ดวงตายังมีหยาดน้ำตาเอ่อคลออยู่ แล้วยังมีหน้ามาหัวเราะคิกคักให้กับเขาที่อดอาหารประท้วง ซองจูเห็นสภาพแบบนั้นของมินซิกแล้ว ได้แต่ยักไหล่อย่างหน่ายใจให้ทีนึง แล้วจึงเดินไปทางห้องครัว สักพักซองจูก็รู้สึกถึงเสียงฝีเท้าของมินซิกที่กลับมาร่าเริง ก้าวตามหลังเขาที่เดินอย่างเนิบนาบมาติดๆ 

 

 

“ซื้ออะไรมาล่ะ” 

 

 

“ผมซื้อของโปรดของพี่มาทั้งนั้นเลย มีทั้งสลัดปลาแซลมอนใส่อะโวคาโดกับขนมปังโฮลวีทธัญพืชครับ ถ้าเกิดว่าของพวกนี้ยังไม่ถูกใจพี่อีก ผมก็ยังซื้อสลัดอกไก่ใส่เห็ดมาให้ด้วยนะครับ พี่อยากจะลองกินอันไหนก่อนดีครับ” 

 

 

“…แซลมอน” 

 

 

“ถ้าอย่างนั้น ผมเอาสลัดเห็ดไปใส่ตู้เย็นไว้ให้นะครับ พรุ่งนี้เช้าพี่ก็ค่อยเอาออกมากินนะครับ” 

 

 

“อืม ขอบใจ” 

 

 

ซองจูพูดขอบคุณมินซิก ทั้งๆ ที่ไม่ได้หันกลับไปสบตาอีกฝ่าย แม้การหันกลับไปมองอีกคนสักครั้งก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่ที่เขาดื้อดึงไม่ยอมทำแบบนั้นออกไปก็เป็นเพราะจองอูนั่นแหละ 

 

 

ห้องของซองจูและห้องของจองอูอยู่ห่างไกลกันคนละฝั่งเหมือนขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้ ภายในห้องชุดสุดหรู ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าเจ็ดสิบพย็อง[1] ซึ่งใหญ่เกินกว่าที่จะใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง ทั้งที่พวกเขาทั้งคู่พักอาศัยอยู่กันคนละมุมห้อง แต่ว่าคนๆ นั้นกลับเดินมาถึงหน้าห้องเขาด้วยความจงใจ แล้วมันก็น่าสงสัยด้วยว่าจองอูตั้งใจมาถึงนี่เพื่อเรียกให้เขาออกมากินข้าวหรือเปล่า 

 

 

หากอีกคนก็เป็นพวกที่ซับซ้อนแบบเดียวกันกับเขา หากอีกคนตั้งใจมาเพื่อสั่งให้เขาออกมากินข้าวแล้วละก็ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะกำลังหัวเราะเยาะเขาอยู่ในใจหรือเปล่า ซองจูก็ได้แต่หวังว่าจองอูคงจะไม่ได้เป็นคนแบบนั้น มันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ถ้าหากมีพวกเข้าใจยากมารวมกันอยู่ที่นี่ถึงสองคน 

 

 

เขาเดินมาถึงในครัว ทั้งที่ยังไม่ทันจะได้จัดการกับจิตใจที่ว้าวุ่นของตัวเอง สิ่งแรกที่ปรากฎเข้ามาในกรอบสายตาทันทีที่เหยียบเข้ามาภายในนี้คือบรรดาถุงอาหารที่ยังอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีร่องรอยถูกเปิดออกแต่อย่างใด เขาหันขวับกลับไปพร้อมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว ทำเอามินซิกตกใจมือไม้สั่น รีบพูดแก้ตัวเป็นพัลวัน 

 

 

“เออ คือ นั่นมัน คือพอผมออกไปซื้อมาให้พี่แล้ว ผมก็รีบไปหาพี่ก่อนก็เลย…ขอโทษครับ! ผมจะรีบจัดการให้เดี๋ยวนี้เลยครับ” 

 

 

ซองจูรีบเอื้อมมือออกไปคว้าต้นคอของเจ้ามินซิกเอาไว้ทันที ขัดขวางอีกฝ่ายที่กำลังจะพุ่งตัวไปทางโต๊ะอาหาร ซึ่งเจ้าตัวก็ทำได้เพียงยื่นแขนทั้งสองออกมาอย่างพยายามตะเกียกตะกายจะไปให้ถึงให้ได้ 

 

 

“เฮ้อ อยู่เฉยๆ สิ! ตั้งสติหน่อย!” 

 

 

ซองจูทนมองดูสภาพนั้นของอีกฝ่ายไม่ได้ ถึงกับต้องตะโกนเสียงดังออกมา สติของมินซิกจึงกลับมาทันทีราวกับกดสวิตช์  

 

 

“นี่! พวกนี้มันอะไร ทำไมนายยังไม่กิน” 

 

 

มินซิกจ้องเขม็งมาราวกับต้องการถามว่า เรื่องที่เขาไปซื้อข้าวของตัวเองมาแต่ยังไม่ได้กินนั่นน่ะ มันเป็นปัญหาตรงไหน เห็นเช่นนั้นซองจูจึงหลุดเสียงขำฮึ ที่ดูเหมือนคนหายใจสะดุดเสียมากกว่า ก่อนจะพึมพำออกมา 

 

 

“เจ้าโง่เอ๊ย มันเย็นหมดแล้ว แบบนี้กินไปจะได้รสชาติอะไร…นี่ นายล่ะ ทำไมถึงไม่กิน” 

 

 

ทันทีที่หันกลับไปด้านหลัง ภาพใบหน้าไร้อารมณ์ของจองอูก็ปรากฏชัดเข้ามาในกรอบสายตา ซองจูส่งสัญญาณผ่านทางสายตาให้อีกฝ่ายรีบๆ ตอบคำถามเขามาเสียที เจ้าตัวยักไหล่ ก่อนจะเปิดปากตอบ 

 

 

“ให้ฉันกินคนเดียว มันก็ยังไงๆ อยู่” 

 

 

ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เหตุผลที่พิเศษอะไร แต่มันกลับเป็นคำตอบที่ถูกใจซองจูขึ้นมาเสียอย่างนั้น แม้ในความคิด เขาไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่ ที่ตัวเองเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ แต่ในวันนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะร่วมมื้ออาหารกับจองอู 

 

 

“ช่างเถอะ หิวแล้ว รีบกินเถอะ” 

 

 

แล้วเขาก็ขยับฝีเท้าเดินไปเป็นคนแรก 

 

 

ก้าวเดินเร็วๆ ไปยังตู้เก็บจาน หยิบจานจากในตู้ออกมา แล้วมาจัดการแกะห่ออาหารพวกนั้นออก จองอูที่เอาแต่จ้องมองซองจูกับมินซิกในตอนแรก ก็ตั้งสติขึ้นมาได้ แล้วก้าวเร็วๆ เข้าไปช่วยจัดโต๊ะ 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

หลังจากวันนั้นแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างซองจูและจองอูก็ดูเหมือนจะไม่ได้ขยับไปจากเดิม  

 

 

การใช้ชีวิตในแต่ละวันของพวกเขาแตกต่างกันมาก เช่นเดียวกับห้องนอนที่ตั้งอยู่ห่างกันคนละฟากฝั่ง ซองจูตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ต่างกันกับจองอู รายนั้นส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตโต้รุ่ง แล้วค่อยเข้านอนในตอนเช้า ซองจูทำกิจวัตรประจำวันทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วจึงเข้านอนในช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืน ซึ่งในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่จองอูกำลังเริ่มต้นวันใหม่ของตนเอง 

 

 

เดิมทีพวกที่ทำงานเกี่ยวกับด้านดนตรีก็เป็นมนุษย์ประเภทที่ใช้ชีวิตในตอนกลางคืนเหมือนกันหมดอยู่แล้ว เขาจึงไม่ได้ใส่ใจ ทำเหมือนมันไม่มีอะไรผิดแปลก แต่ว่าทุกๆ ครั้งที่ซองจูได้เห็นจองอูแบบนั้น ก็มักจะทำให้เขานึกถึงซองฮีจนเผลอทำหน้านิ่วคิ้วขมวดออกมา จองอูที่โดนซองจูทำท่าทางโมโหใส่โดยไม่ทราบสาเหตุ ก็ไม่ได้แสดงท่าทางตอบสนองอะไรเป็นพิเศษ 

 

 

ไม่ว่าซองจูจะแสดงอากัปกิริยาอย่างไร ดูจะไม่สามารถสะเทือนจองอูที่ทำตัวเหมือนป้อมปราการคนนั้นได้เลย แน่นอนว่าการที่จะเห็นอีกฝ่ายออกมาข้างนอกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกครั้งที่ออกมาก็เพียงจัดการธุระของตัวเอง เสร็จแล้วก็กลับเข้าห้องไป วนไปวนมาอยู่แบบนี้เท่านั้น แต่ว่าพอถูกอีกฝ่ายทำเมินเฉยไม่ได้สนใจก็พาลให้หงุดหงิด พอมากเข้าก็เพิ่มพูนเป็นความโกรธ และพาลหาเรื่องทะเลาะกับอีกฝ่าย เหวี่ยงใส่อีกคนที่เมินเฉยใส่เขา แล้วเอาแต่เก็บตัวทำงานอยู่ในห้อง ทำตัวไม่ต่างกับพวกเต้นกินรำกินเลยสักนิด นั่นทำให้เขาโดนตอกกลับมาด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ว่า ‘นายเองก็เต้นกินรำกินเหมือนกัน’  

 

 

ในที่สุดซองจูก็ตระหนักได้ว่าตัวเองไม่สามารถเอาชนะจองอูได้เลย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจโทรไปหาดงฮยอนอีกครั้ง 

 

 

“ไอ้นั่นจะอยู่ที่นี่ไปจนถึงเมื่อไหร่? บอกให้ทนๆ ไปสักพักนึงใช่ไหม หา? นี่มันเรียกว่าสักพักงั้นเหรอ” 

 

 

“นี่ ฉันไม่ได้หูหนวกนะ เลิกตะโกนสักที แล้วนี่อยู่ไหน” 

 

 

“เวลาที่ไม่มีงาน พี่เคยเห็นผมไปที่ไหนนอกจากห้องตัวเองรึไง แน่นอนว่าต้องอยู่ที่ห้องน่ะสิ ไม่สิ เรื่องสำคัญตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ผมจะอยู่ที่ไหนสักหน่อย! ผมถามว่าพี่จะจัดการยังไงต่อ!” 

 

 

“โธ่เว้ย ไอ้เจ้านี่ ก็บอกว่าไม่ได้หูหนวกไง สงสัยว่าจะต้องอยู่แบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่งั้นสิ” 

 

 

ถึงอีกคนจะเอาแต่เถียงฉอดๆ อย่างไม่ยอมแพ้ แต่ดงฮยอนก็ยังคงนิ่งเฉย 

 

 

แม้จะพยายามก่อความวุ่นวายด้วยพลังทั้งหมดที่มีแล้ว แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามวางเฉยใส่เสีย ทั้งหมดมันก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ทำไมคนรอบตัวเขามันถึงได้เป็นแบบนี้เหมือนกันหมด ซองจูได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา 

 

 

“เฮ้อ… เสียแรงเปล่าจริงๆ แค่บอกมาก็พอว่าจะต้องทนไปถึงเมื่อไหร่” 

 

 

“ไอ้เรื่องนั้น ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันบอกไปว่าอยากจะอยู่ถึงเมื่อไหร่ก็อยู่ไปเถอะ ลองถามจองอูดูสิ เออ แล้วนี่ทำความรู้จักกันแล้วใช่ไหม” 

 

 

“ทำแล้ว ถามชื่อก็เหมือนไม่ได้ถาม ถึงยังไงก็ไม่ได้เรียกชื่อกันอยู่แล้ว แต่ว่าพี่ นี่มันไม่เหมือนที่เคยคุยกันตอนแรกนี่ ไอ้ที่ไปพูดว่าอยากอยู่ถึงเมื่อก็อยู่เนี่ยมันใช่เรื่องเหรอไง หา?” 

 

 

“อันที่จริง นายอยากจะพูดว่าหมอนั่นอยู่ร่วมกับคนอย่างฮันซองจูได้อย่างสงบสุขใช่ไหม คงจะแปลกใจใช่ไหมล่ะ เพราะคาดเดาไว้ว่าไม่นานก็คงจะย้ายออกไป แต่กลายเป็นว่ามาปักหลักนานกว่าที่คิดซะอย่างนั้น นี่คงเป็นเพราะจองอูนิสัยดีมากละสินะ”  

 

 

“อะไรนะ? นิสัยดีงั้นเหรอ? ยิ่งกว่าคนบ้าซะอีก” 

 

 

ซองจูจิ๊ปากอย่างไม่ชอบใจในคำพูดของดงฮยอน 

 

 

คำพูดมันก็เป็นแค่เพียงคำพูดเท่านั้น แต่ซองจูก็คิดไปแล้วว่า จองอูคงเป็นประเภทตีสองหน้าใส่คนรอบข้างอย่างแน่นอน 

 

 

ต่อหน้าเขาก็ทำตัวเป็นพวกไม่หือไม่อืออะไรสักอย่าง มองเหมือนเขาเป็นสิ่งของ แต่พอตอนมินซิกมาก็สวมหน้ากาก แสร้งเป็นพวกอัธยาศัยดี แบบนั้นยิ่งทำให้เขาไม่พอใจเป็นเท่าตัว 

 

 

ปัญหาไม่ได้มีแค่นี้ ไอ้เวรจองอูนั่นคงตั้งใจจะเอาชนะเขา ทุกวันนี้ แม้แต่มินซิกก็เป็นไปด้วย ไม่ใช่แค่เรียกอีกฝ่ายอย่างยกย่องว่าพี่เท่านั้น ตอนเรียกไอ้บ้านั่นว่าพี่ ก็ทำท่าทางประจบเอาใจมันด้วย เห็นแบบนั้นแล้วทำเอาเขารู้สึกโมโหจนแทบคลั่งตาย 

 

 

แต่ว่า เขาก็ไม่สามารถที่จะฟ้องเรื่องนี้กับดงฮยอนโดยตรงได้ ลองถ้าฟ้องไปแล้ว ไม่โดนด่ากลับมาว่าทำตัวเรียกร้องความสนใจก็คงดีไป ซองจูตั้งใจว่าจะพยายามพูดถากถางอีกฝ่าย ด้วยความรอบคอบอย่างที่สุด 

 

 

“การที่พูดอะไรไปก็เอาแต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จานี่เรียกว่านิสัยดีงั้นเหรอ ไอ้นิสัยดีที่พี่พูดมาเนี่ย มันคืออะไรกันแน่?” 

 

 

“อะไรที่มันตรงข้ามกับฮันซองจูก็คือนิสัยดีนั่นแหละ เรื่องง่ายๆ แค่นี้ก็ยังต้องมาถามกันอีกเหรอ?” 

 

 

“นี่!” 

 

 

และในวันนี้ ก็ทำให้ซองจูได้ตระหนักแล้วว่า แม้แต่ดงฮยอนก็พลอยเข้าข้างหมอนั่นไปอีกคนด้วย ทันทีที่เขาแผดเสียงตะโกนใส่หูโทรศัพท์ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะ ฮ่าๆ ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ที่ถืออยู่ ดงฮยอนหัวเราะจนพอใจแล้ว จึงได้เอ่ยถามซองจูที่กำลังหอบหายใจอย่างหนักด้วยอารมณ์โกรธที่ยังไม่ลดลง 

 

 

“มินซิกบอกว่าพวกนายกินข้าวร่วมโต๊ะกันด้วยนี่” 

 

 

“แค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ ไอ้อะไรแบบนั้นน่ะ” 

 

 

“อะไรแบบนั้น มันคืออะไรล่ะ” 

 

 

“ก็ แบบนั้นแหละ ยังไงก็ไม่ได้ญาติดีกัน คุยกันหรือก็ไม่ ถึงจะเจอหน้ากันบ้าง แต่ก็ทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ไปเท่านั้น ยังไงซะ ไอ้นั่นมันก็แค่พวกประสาท” 

 

 

“จองอูเองก็บอกว่านายประสาทเหมือนกัน” 

 

 

“หา? มันบอกงั้นเหรอ? ไอ้เวรเอ๊ย” 

 

 

ดงฮยอนสูดหายใจเข้าลึก พยายามเกลี้ยกล่อมซองจูที่ตอนนี้กำลังแผดเสียงตะโกนอย่างน่ากลัว ด้วยอารมณ์โกรธที่เดือดปุดๆ ขึ้นทันทีที่คำนั้นหลุดออกจากปากเขา ไม่คิดเลยว่ามันจะกลายเป็นเรื่องไปได้ 

 

 

แล้วภาพเหตุการณ์ในวันนั้น วันที่จองอูในสภาพที่เหมือนคนใกล้ตายมาหาเขา แล้วอ้อนวอนขอให้ช่วยก็ได้ผุดวาบเข้ามาในความคิด 

 

 

 

 

 

‘พี่… ได้โปรด ช่วยผมด้วยเถอะครับ’ 

 

 

 

 

 

จองอูที่มาเพื่อขอความช่วยเหลือจากเขาในสภาพใบหน้าซูบตอบ ตาลึกโบ๋ ยืนก็แทบจะทรงตัวไม่อยู่ ภาพตอนนั้นยังติดตาเขาอยู่เลย 

 

 

จองอูที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่สู้ดีนัก ทำให้เจ้าตัวมีสภาพจิตใจที่น่าเป็นห่วงอยู่เสมอ พอโตเป็นผู้ใหญ่ ถึงได้หลุดพ้นจากพ่อแม่ที่คอยทารุณและไม่เคยใส่ใจมาได้ แต่ทว่าบาดแผลที่ได้รับมาทั้งทางร่างกายและจิตใจมันได้ฝังรากลึก และคอยติดตามทำร้ายจองอูอยู่เสมอ คนรอบข้างที่ไม่อาจทนดูเฉยๆ ได้ จึงพยายามช่วยเหลือกันในทุกทาง ทว่าก็เหมือนจะไม่มีอะไรดีขึ้นมาแม้แต่น้อย 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1]พย็อง หน่วยวัดความกว้างของที่ดินแบบเกาหลี 1 พย็องเท่ากับ 3.3057 ตารางเมตร 

(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท

(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท

ตอนที่ 1 – 5.5 (ตอนพิเศษ) อ่านนิยาย (จบ) ฮันซองจูนักแสดงหนุ่มชื่อดังโดนคู่หมั้นสาวถอนหมั้นอย่างไร้เยื่อใย แต่แล้ววันหนึ่งเจ้าของต้นสังกัดก็ส่งคิมจองอู ชายหนุ่มแปลกหน้าให้มาพักกับเขา จากที่คิดว่าอีกคนคงจะทนไม่ได้แล้วจากไป แต่กลับกลายเป็นว่าเขาก้าวเข้ามามีอิทธิพลต่อหัวใจฮันซองจูมากกว่าที่คิด ทำไมแค่มีอีกคนอยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็รู้สึกดีขึ้นมาได้ ใครคนหนึ่งได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงให้เขามี ‘ชีวิต’ ขึ้นมา แล้วแขกไม่ได้รับเชิญที่ชื่อคิมจองอู ก็ไม่ใช่แค่คนแปลกหน้าอีกต่อไป แสดงเพิ่มเติม

Options

not work with dark mode
Reset